เรื่องที่ 113: จะเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทประกันภัยต่อไป
เมื่อมีคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (Business
Interruption Insurance Policy) ออกมาเช่นนั้น?
(ตอนที่สี่)
สำหรับประเด็นข้อพิพาทของกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักฉบับดังกล่าวที่เหลืออีกสองประเด็น ได้แก่
(2) ความคุ้มครองในส่วนของค่าปรับการผิดสัญญา
ครั้นพิจารณาดูจากคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ซึ่งเขียนว่า
ตามกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักพร้อมคำแปล
ซึ่งจำเลยไม่โต้แย้งคัดค้านว่าแปลผิดหรือไม่ถูกต้อง ระบุการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและความคุ้มครองว่า
"การสูญเสียรายได้หรือค่าเช่า
ค่าปรับที่เกิดขึ้นโดยตรงต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัยโดยมีสาเหตุมาจากการประกันภัยการเสี่ยงภัยทุกชนิด
รวมถึงความสูญเสียหรือความเสียหายต่อระบบหรืออุปกรณ์เครื่องจักร (โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขและข้อยกเว้นของกรมธรรม์)"
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า
จำเลยต้องรับผิดค่าปรับตามกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักหรือไม่ เห็นว่า ค่าปรับที่โจทก์ต้องจ่ายอันเนื่องจากการผิดสัญญาไม่สามารถส่งกระแสไฟฟ้า/หรือพลังงานความร้อนให้แก่บริษัทเดอะสยามเซรามิค
กรุ๊ป อินดัสทรี่ส์ จำกัด เดือนละ 2,560,000
บาท หรือวันละ 85,333.33 บาท ซึ่งตามกรมธรรม์ประกันธุรกิจหยุดชะงัก
ระบุการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนการสูญเสียค่าปรับที่เกิดขึ้นโดยตรงต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัยโดยมีสาเหตุมาจากการประกันภัย
การเสี่ยงภัยทุกชนิด รวมถึงความสูญเสียหรือความเสียหายต่องานระบบหรืออุปกรณ์เครื่องจักร
ประกอบกับสัญญาโอนสิทธิโครงการลงทุนผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าและพลังงานความร้อน ระหว่างโจทก์
ผู้รับโอนกับบริษัทเดอะสยามเซรามิค กรุ๊ป อินดัสทรี่ส์ จำกัด มีข้อตกลงระบุให้โจทก์ต้องรับผิดต่อบริษัทเดอะสยามเซรามิค
กรุ๊ป อินดัสทรี่ส์ จำกัด เมื่อโจทก์ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าและ/หรือพลังงานความร้อนให้บริษัทเดอะสยามเซรามิค
กรุ๊ป อินดัสทรี่ส์ จำกัด ได้ และจำเลยรับประกันธุรกิจหยุดชะงักพิพาทเกี่ยวกับสถานีผลิตไฟฟ้าและพลังงงานความร้อนเพื่อขายให้แก่บุคคลภายนอก
หากเกิดความเสียหาย ทำให้โจทก์ต้องผูกพันและรับผิดต่อบุคคลภายนอกซึ่งเป็นคู่สัญญา และขณะจำเลยตกลงทำสัญญาประกันธุรกิจหยุดชะงัก
ข้อตกลงดังกล่าวมีผลใช้บังคับ
และตามกรมธรรม์ประกันธุรกิจหยุดชะงักระบุความรับผิดของจำเลยเกี่ยวกับค่าปรับไว้ด้วย
ค่าปรับดังกล่าวจึงเป็นความเสียหายที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ที่จำเลยยอมรับว่าต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์โดยไม่ต้องคำนึงว่า
โจทก์ได้ชำระค่าปรับให้แก่บุคคลภายนอกแล้วหรือไม่ หรือบุคคลภายนอกได้ใช้สิทธิเรียกร้องให้โจทก์ชำระแล้วหรือไม่
ส่วนการที่บุคคลภายนอกจะได้รับความเสียหายหรือไม่เนื่องจากไปซื้อกระแสไฟฟ้าจากบุคคลอื่น
ก็เป็นสิทธิเรียกร้องของบุคคลภายนอกไม่เกี่ยวข้องกับความรับผิดของจำเลยที่มีต่อโจทก์ตามกรมธรรม์
จำเลยจึงต้องรับผิดค่าปรับต่อโจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักด้วย
ที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคเห็นพ้องด้วย
ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบกับกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักฉบับมาตรฐานภาษาไทย
(เนื่องจากภัยที่เอาประกันภัยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน)
ซึ่งให้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562
สำหรับถ้อยคำที่เกี่ยวข้องได้ระบุตรงหมวดที่ 3 ข้อยกเว้นว่า
“ก. สาเหตุของความเสียหายที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง
……………………………….
2. กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ไม่คุ้มครองความเสียหายจากการหยุดชะงักของธุรกิจ
อันเป็นผลมาจากความเสียหายอันมีสาเหตุมาจากหรือเกิดขึ้นจาก
2.1
การกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัย
หรือผู้กระทำการแทน หรือในนามของผู้เอาประกันภัย
2.2
การหยุดทำงาน การล่าช้า การสูญเสียตลาด หรือความเสียหายต่อเนื่อง (consequential) หรือความเสียหายโดยอ้อมไม่ว่าลักษณะใด ๆ ก็ตาม”
โดยทั่วไป
ค่าปรับจะไม่คุ้มครองเนื่องจากถือเป็นความเสียหายสืบเนื่องจากความเสียหาย แต่อาจตกลงเป็นกรณีพิเศษให้ขยายความคุ้มครองได้โดยกำหนดเป็นวงเงินความเสียหายส่วนแรก
(First Loss) (Business
Interruption Insurance Factsheet, CII)
ในคดีนี้ได้ระบุชัดเจนให้ความคุ้มครองถึง จึงปฏิเสธความรับผิดลำบาก
ข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ คำว่า “ความเสียหายต่อเนื่อง (consequential)” ที่ระบุยกเว้นไว้ในข้อยกเว้น 2.2
ข้างต้น มีความหมายเช่นใด? เพราะเมื่อเปิดพจนานุกรมศัพท์ประกันภัย ฉบับราชบัณฑิตยสภา พิมพ์ครั้งที่
6 (แก้ไขเพิ่มเติม)
หน้า 67 ปรากฏถ้อยคำ
ดังนี้
“Consequential loss
ความเสียหายสืบเนื่อง
ความเสียหายที่เกิดจากการไม่สามารถใช้ประโยชน์จากการใช้ทรัพย์สินเนื่องจากทรัพย์สินสูญหายหรือเสียหาย
Consequential loss insurance
การประกันภัยความเสียหายสืบเนื่อง การประกันภัยความเสียหายทางการเงินซึ่งเป็นผลสืบเนื่องโดยตรงจากความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยที่ได้รับความคุ้มครอง”
ตกลงแล้วคำภาษาอังกฤษมาจากคำศัพท์เดียวกัน
แต่แปลภาษาไทยออกมาต่างกัน และเปิดพจนานุกรมศัพท์ไทย-ไทย หาไม่เจอว่า “ความเสียหายต่อเนื่อง” มีความหมายเช่นใด?
ยิ่งไปตรวจสอบถ้อยคำเดียวกันนี้ของกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยฉบับมาตรฐาน
มีเขียนทั้งสองคำ แต่ไม่อาจทราบถึงเจตนารมณ์ได้ว่า ตั้งใจเขียนให้ต่าง
หรือพิมพ์ผิดกันแน่ ส่วนตัวเชื่อว่า น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า
(3) วิธีการบังคับใช้ความเสียหายส่วนแรก 7 วัน
ประเด็นข้อนี้
มักจะสร้างปัญหาในการตีความทั้งในต่างประเทศด้วยว่า
ถ้อยคำที่เขียนสามารถใช้บังคับได้จริงหรือ? บางครั้งจะเห็นเขียนว่า “ความเสียหายส่วนแรก
7 วันแรก” ก็มี
ส่วนนี้ คือ
ส่วนที่ผู้เอาประกันภัยจำต้องรับผิดชอบเอง ปกติในกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินจะรู้จักในชื่อ
“ความเสียหายส่วนแรก” หรือ “ความรับผิดส่วนแรก” ซึ่งกำหนดเป็นวงเงิน
แต่ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักเห็นว่า น่าจะกำหนดเป็นจำนวนวันเหมาะสมกว่า
โดยจะเรียกว่า “ช่วงเวลารับผิดส่วนแรก (Time
Excess)” หรือ “ระยะเวลารอคอย,
ระยะเวลาที่ไม่คุ้มครอง (Waiting
Period)”
ครั้นพอนำไปบังคับใช้จริง
อย่างในคดีนี้ สรุปว่า ระยะเวลาในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (Indemnity Period) เท่ากับ 80 วัน หมายถึง 7 วันแรกจะไม่คุ้มครองให้ คือ
จะเริ่มคุ้มครองนับตั้งแต่วันที่ 8 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 80 จากนั้นค่อยนำช่วงเวลาดังกล่าวคำนวณออกมาเป็นตัวเงิน เพื่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ในคดีนี้ ศาลฎีกาท่านวินิจฉัยว่า เมื่อคำนวณค่าสินไหมทดแทน
80 วัน
เป็นค่าขาดรายได้เฉลี่ยวันละ 561,804.57 บาท เป็นเงิน 44,944,365.60
บาท และรวมกับค่าปรับเฉลี่ยวันละ 85,333.33 บาท
จำนวน 80 วัน คิดเป็นค่าปรับ 6,826,666.40 บาท รวมเป็นค่าสินไหมทดแทนทั้งหมด 51,771,032 บาท เมื่อจำนวนเงินเอาประกันภัยจำกัดความรับผิดไว้เพียง
30,000,000 บาท จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก
30,000,000 บาท เต็มตามจำนวนเงินเอาประกัน
สมมุติในการบังคับใช้ความเสียหายส่วนแรก
7 วัน บริษัทประกันภัยจะนำเอาค่าเสียหายเฉลี่ยรายวันไปคูณกับจำนวน
7 วัน
ออกมาได้ตัวเลขเท่าไหร่แล้วนำไปหักออกจากค่าสินไหมทดแทนทั้งหมด
ผู้เอาประกันภัยอาจโต้แย้งได้ว่า การทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นตัวเลขเฉลี่ยรายวันของระยะเวลาความเสียหายทั้งหมด
80 วัน สิ่งที่ถูกต้องตามถ้อยคำ บริษัทประกันภัยควรคำนวณจากตัวเลขที่เกิดขึ้นจริงในช่วง 7 วัน
ถ้าหามาไม่ได้ ก็ไม่สามารถนำมาหักจากค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดได้
ด้วยเหตุนี้ทำให้หลายบริษัทประกันภัยเลี่ยงไปกำหนดความเสียหายส่วนแรกเป็นตัวเงินเช่นเดียวกับกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินจะช่วยลดปัญหาข้อโต้แย้งเช่นนั้นลงได้บ้าง
สำหรับคดีนี้ ศาลฎีกาท่านวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประการต่อมาว่า
ความเสียหายส่วนแรกสามารถนำไปหักออกจากค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักได้หรือไม่
เห็นว่า ตามเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ประกันธุรกิจหยุดชะงัก ระบุ
"ความเสียหายส่วนแรก 7 วัน" โดยไม่ปรากฏว่ามีการระบุข้อความไว้ชัดแจ้งในตารางกรมธรรม์ว่า
ผู้เอาประกันภัยต้องเป็นผู้รับผิดชอบจ่ายความเสียหายส่วนแรกเอง จึงไม่อาจรับฟังได้ว่ามีข้อตกลงให้โจทก์มีหน้าที่ต้องจ่ายความเสียหายส่วนแรก
7 วัน ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ไม่สามารถนำความเสียหายส่วนแรก
7 วัน หักออกจากค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักจึงชอบแล้ว
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ดังนั้น
สาเหตุหลักคดีนี้เสมือนมาจากความไม่ชัดเจนของถ้อยคำในกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักมากกว่า
ซึ่งประเทศอังกฤษก็เจอปัญหาลักษณะนี้บ้างเหมือนกัน รับฟังมาว่า
คงจะมีการนำไปทบทวนปรับปรุงถ้อยคำ แต่ไม่ทราบว่า จะสำเร็จเมื่อใด?
ฉะนั้น เมื่อกลับมาดูของบ้านเรา อย่างที่จั่วหัวข้อล่ะครับว่า
จะเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทประกันภัยต่อไป เมื่อมีคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก
(Business
Interruption Insurance Policy) ออกมาเช่นนั้น?
เรื่องต่อไป
:
ธนาคาร หรือศูนย์การค้าจำต้องรับผิดตามกฎหมายหรือเปล่าที่มีโจรเข้าไปจี้ปล้น?
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-
รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย):
เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่
https://www.facebook.com/pomamornkul/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น