วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2562

เรื่องที่ 90:คดีศึกษาระหว่างคำว่า “การใช้รถ (Use)” และ “การขับขี่ (Operation)” ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์


(ตอนที่สาม)


บทสรุปในเรื่องนี้


ในความเป็นจริงทางปฏิบัติ สิ่งเหล่านี้อาจเกิดได้


ก) ผู้เอาประกันภัยอาจเป็นทั้งผู้ใช้รถยนต์กับผู้ขับขี่รถยนต์คันที่เอาประกันภัย (ผู้มีสิทธิใช้กับผู้มีสิทธิขับขี่เป็นบุคคลคนเดียวกัน)


ยกตัวอย่างเช่น เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์คันที่เอาประกันภัย หรือผู้มีสิทธิครอบครองรถยนต์คันที่เอาประกันภัย ได้แก่ ผู้เช่าซื้อรถยนต์


ข) ผู้เอาประกันภัยอาจยินยอมให้บุคคลอื่นเป็นทั้งผู้ใช้รถยนต์กับผู้ขับขี่รถยนต์คันที่เอาประกันภัยโดยมิได้มีเงื่อนไขหรือข้อจำกัดใดทั้งสิ้น (ผู้มีสิทธิใช้กับผู้มีสิทธิขับขี่เป็นบุคคลคนเดียวกัน)


ยกตัวอย่างเช่น พ่อซื้อรถยนต์คันที่เอาประกันภัยมาให้ลูกใช้และขับขี่ ลูกจะขับไปเรียน ไปทำงาน ไปเที่ยว ไปกินดื่มจนเมาสุราก็แล้วแต่


ค) ผู้เอาประกันภัยอาจยินยอมให้บุคคลอื่นเป็นทั้งผู้ใช้รถยนต์กับผู้ขับขี่รถยนต์คันที่เอาประกันภัย แต่มีเงื่อนไขหรือข้อจำกัดกำหนดไว้ (ผู้มีสิทธิใช้กับผู้มีสิทธิขับขี่เป็นบุคคลคนเดียวกัน)


ยกตัวอย่างเช่น ผู้ให้เช่ารถยนต์ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์คันที่เอาประกันภัยอนุญาตให้ผู้เช่ารถยนต์คันนั้นใช้และขับขี่เพียงผู้เดียวเท่านั้น โดยสัญญาเช่ารถยนต์ระบุห้ามมิให้นำไปให้บุคคลอื่นขับขี่แทน


ฆ) ผู้เอาประกันภัยอาจยินยอมให้บุคคลอื่นเป็นผู้ใช้รถยนต์ แต่ห้ามมิให้ขับขี่รถยนต์คันที่เอาประกันภัยเอง ต้องให้บุคคลอื่นอีกรายซึ่งผู้เอาประกันภัยเห็นชอบเป็นผู้ขับขี่รถยนต์คันนั้นแทน (ผู้มีสิทธิใช้กับผู้มีสิทธิขับขี่เป็นบุคคลคนละคน)


ยกตัวอย่างเช่น ปู่เป็นเจ้าของรถยนต์คันที่เอาประกันภัยอนุญาตให้หลานของตนเองนำรถยนต์คันนั้นไปใช้ได้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องให้เพื่อนที่ระบุชื่อของหลานเป็นผู้ขับขี่แทนเท่านั้น (ดังคดี Farm Bureau Mut. Ins. Co. v. Broadie, 558 S.W.2d 751 (Mo. App. 1977))


ง) บุคคลอื่นซึ่งปราศจากความยินยอมของผู้เอาประกันภัยนำรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไปใช้และขับขี่เอง (ผู้ไม่มีสิทธิใช้กับผู้ไม่มีสิทธิขับขี่เป็นบุคคลคนเดียวกัน)


ยกตัวอย่างเช่น ลูกจ้างแอบนำรถยนต์คันที่เอาประกันภัยของนายจ้างไปใช้และขับขี่โดยปราศจากความยินยอมของนายจ้างผู้เอาประกันภัย 


จ) บุคคลอื่นซึ่งปราศจากความยินยอมของผู้เอาประกันภัยนำรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไปใช้ แต่ให้บุคคลอื่นอีกรายขับขี่โดยปราศจากความยินยอมของผู้เอาประกันภัยด้วยเช่นกัน (ผู้ไม่มีสิทธิใช้กับผู้ไม่มีสิทธิขับขี่เป็นบุคคลคนละคน)


ยกตัวอย่างเช่น ลูกจ้างแอบนำรถยนต์คันที่เอาประกันภัยของนายจ้างไปใช้ แต่ให้เพื่อนของตนเป็นผู้ขับขี่โดยปราศจากความยินยอมของนายจ้างผู้เอาประกันภัยทั้งสองคน


หากเรามาดูต่อเทียบเคียงกับหมวดการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ภาคสมัครใจฉบับมาตรฐานบ้านเรา ซึ่งนอกจากจะระบุให้ความคุ้มครองความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก ซึ่งผู้เอาประกันภัยจำต้องรับผิดตามกฎหมาย เนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากรถยนต์ที่ใช้ หรืออยู่ในทาง หรือสิ่งที่บรรทุกหรือติดตั้งในรถยนต์นั้น รวมถึงความรับผิดตามกฎหมายของบุคคลอื่นซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยดังที่ระบุในข้อ 1. กับข้อ 4. แล้ว


ในข้อ 7. การยกเว้นทั่วไป ซึ่งระบุไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจาก


7.1 ………………………………….

 7.6 การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวงฉบับที่ 16 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 กำหนดให้ถือว่าเมาสุรา


ทั้งในข้อ 8. ข้อสัญญาพิเศษที่ระบุในย่อหน้าสองและย่อหน้าสามว่า


ส่วนเงื่อนไข 7.6 บริษัทจะไม่นำมาเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอก เพื่อปฏิเสธความ  รับผิดทั้งตาม 1.1 (ความเสียหายต่อชีวิต ร่างกายหรืออนามัยของบุคคลภายนอก) และ 1.2 (ความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก) ในหมวดนี้



ในกรณีที่บริษัทไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย หรือรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยนี้ต่อผู้เอาประกันภัย แต่บริษัทได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้วตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ในความรับผิดที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกไปแล้ว ผู้เอาประกันภัยต้องใช้จำนวนเงินที่บริษัทได้จ่ายไปนั้นคืนให้บริษัทภายใน 7 วัน นับแต่ได้รับหนังสือเรียกร้องจากบริษัท



ในการตีความถ้อยคำย่อหน้าสองข้างต้น อาจเกิดประเด็นขึ้นมาได้ว่า บริษัทประกันภัยไม่สามารถนำข้อยกเว้นเรื่องเมาสุราดังกล่าวไปอ้างปฏิเสธความรับผิดต่อบุคคลภายนอกได้ ในกรณีใดดังต่อไปนี้ได้บ้าง?



) กรณีผู้เอาประกันภัยเมาสุราขณะเป็นผู้มีสิทธิใช้รถกับผู้มีสิทธิขับขี่รถยนต์คันที่เอาประกันภัยเอง (ผู้ใช้มีสิทธิ ผู้ขับขี่มีสิทธิ)



) กรณีผู้ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยโดยมิได้มีเงื่อนไขหรือข้อจำกัดใดทั้งสิ้น เมาสุราขณะเป็นผู้มีสิทธิใช้รถกับผู้มีสิทธิขับขี่รถยนต์คันที่เอาประกันภัย (ผู้ใช้มีสิทธิ ผู้ขับขี่มีสิทธิ)



ค) กรณีผู้ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยโดยมีเงื่อนไขห้ามมิให้นำไปให้บุคคลอื่นขับขี่แทน ได้ฝ่าฝืนให้บุคคลอื่นผู้ไม่มีสิทธิขับขี่ในขณะที่บุคคลนั้นเมาสุรา (ผู้ใช้มีสิทธิ ผู้ขับขี่ไม่มีสิทธิ)



ฆ) กรณีผู้ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยโดยมีเงื่อนไขห้ามมิให้ขับขี่เอง ต้องให้เฉพาะบุคคลอื่นดังที่กำหนดไว้เป็นผู้มีสิทธิขับขี่แทน กลับฝ่าฝืนเป็นผู้ขับขี่เสียเองโดยไม่มีสิทธิขณะที่ตนเองกำลังเมาสุรา (ผู้ใช้มีสิทธิ ผู้ขับขี่ไม่มีสิทธิ)



ง) กรณีบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้ไม่มีสิทธิใช้กับผู้ไม่มีสิทธิขับขี่นำรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไปใช้และขับขี่เองขณะเมาสุรา (ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ ผู้ขับขี่ไม่มีสิทธิ)



จ) บุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้ไม่มีสิทธิใช้กับผู้ไม่มีสิทธิขับขี่นำรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไปใช้ แต่ให้บุคคลอื่นอีกรายผู้ไม่มีสิทธิขับขี่ในขณะที่บุคคลนั้นเมาสุรา (ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ ผู้ขับขี่ไม่มีสิทธิ)



คุณจะเลือกข้อไหนเป็นคำตอบที่ถูกต้องสำหรับคำถามข้างบนบ้างครับ?



ส่วนตัวผมขอตีความว่า ข้อ ก) ข) ค) กับ ฆ) น่าจะไม่สามารถใช้อ้างกับบุคคลภายนอกที่เสียหายได้ แต่สำหรับข้อ ค) กับ ฆ) อาจยังมีข้อโต้แย้งได้อยู่บ้าง ถ้าการฝ่าฝืนดังกล่าวมีบทลงโทษอย่างเข้มงวดชัดเจน ถึงขนาดเพิกถอนสิทธิการใช้รถยนต์คันที่เอาประกันภัยคันนั้นเลย ก็น่าจะหยิบยกปฎิเสธบุคคลภายนอกได้ เพราะถือเป็นการขับขี่โดยไม่มีสิทธิใช้รถด้วย ดังกรณีสัญญาเช่ารถที่ห้ามมิให้ผู้เช่านำรถยนต์คันที่เช่าไปให้บุคคลอื่นขับขี่ ซึ่งกำหนดโทษฝ่าฝืนถึงขนาดเป็นอันเลิกสัญญาเช่า หรือลูกจ้างนำรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไปขับขี่ขณะเมาสุรา ฝ่าฝืนระเบียบของนายจ้างซึ่งกำหนดบทลงโทษอย่างชัดแจ้งให้เพิกถอนการใช้รถไปเลย และนายจ้างได้เข้มงวดเอาจริงกับกรณีนี้ โดยไม่มีการผ่อนปรนใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าผู้ให้เช่า หรือนายจ้างมิได้เคร่งครัดเอาจริง และปล่อยละเลยกับข้อกำหนดหรือระเบียบเรื่องนี้แล้ว เชื่อว่า ทั้งผู้ให้เช่า และนายจ้างคงไม่อาจใช้ปฏิเสธความรับผิดของตนเองได้



ส่วนข้อ ง) กับ จ) เนื่องจากถึงขนาดเป็นผู้ไม่มีสิทธิใช้รถยนต์คันที่เอาประกันภัยเลย ถ้าจะให้บริษัทประกันภัยไปรับผิดชอบแทน ก็ออกจะดูไม่เป็นธรรมนัก



ข้อสรุปเรื่องนี้ คือ การใช้รถนั้นใหญ่กว่าการขับขี่รถ เพราะการขับขี่รถเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้รถนั่นเอง



อย่างไรก็ดี โปรดลองเทียบเคียงกับแนวคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นข้อมูลเสริมด้วยครับ



คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8789/2559

การที่จำเลยที่ 1 ขับรถชนรถคันอื่นจนทำให้เกิดความเสียหายแก่รถอื่นถึง 3 คัน ย่อมเป็นผลโดยตรงอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ซึ่งขับรถด้วยความเร็วสูงในขณะเมาสุรา เมื่อตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ท้ายตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ข้อ 7 ระบุว่า การประกันภัยไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจาก 7.6 การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่ มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดไม่น้อยกว่า 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ (ปัจจุบัน แก้ไขลดเหลือเพียงเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้น) ข้อ 8 วรรคสอง ระบุว่าเงื่อนไขตาม 7.6 บริษัทจะไม่นำมาเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกเพื่อปฏิเสธความรับผิด เมื่อโจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกไปแล้วตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 8 วรรคสาม โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาคืนจากผู้เอาประกันภัยได้



ตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัย ผู้เอาประกันภัยที่จะถูกเรียกค่าสินไหมทดแทนคืนจากบริษัทผู้รับประกันภัยนั้น หมายถึง ผู้เอาประกันภัยที่เป็นผู้ทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก แต่ขณะเกิดเหตุคดีนี้จำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยมิใช่เป็นผู้ทำละเมิด โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกคืนค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 แม้จำเลยที่ 2 มิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นต่อสู้ แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)



คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4044/2548
จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานสวนป่าไม่มีหน้าที่ขับรถหรืออำนาจสั่งใช้รถได้โดยลำพัง ทั้งไม่ปรากฏว่าในวันเกิดเหตุผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ได้มอบหมายหรืออนุญาตให้จำเลยที่ 1 ใช้รถ จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธินำรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 2 ออกไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้างานสวนป่าซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา การที่ ป. ชาวบ้านที่เป็นสมาชิกหมู่บ้านป่าไม้ ซึ่งมิใช่คนงานหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 2 มาขอความช่วยเหลือจากจำเลยที่ 1 เนื่องจากมีอาการท้องร่วงให้นำตัวส่งโรงพยาบาล จำเลยที่ 1 จึงขับรถยนต์บรรทุกซึ่งเป็นรถที่ใช้ในกิจการของจำเลยที่ 2 ไปส่ง ป. โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา แล้วไปเกิดเหตุชนกับรถบรรทุกคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 กระทำไปโดยความเอื้อเฟื้อส่วนตัวของจำเลยที่ 1 เอง และกระทำไปโดยพลการ นอกเหนือขอบเขตกิจการงานของจำเลยที่ 2 หาใช่เป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ไม่ จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดในผลละเมิดที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้นแก่โจทก์ เมื่อจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดแล้ว จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัย จึงไม่ต้องรับผิดเช่นเดียวกัน


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1955/2542
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันเกิดเหตุ โดยได้รับความยินยอมจาก ส. เจ้าหน้าที่วิทยาลัยการปกครอง ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 แม้จำเลยที่ 2 จะมีระเบียบว่าด้วยการใช้รถยนต์เป็นประการใดก็ตาม ก็ไม่อาจนำมาใช้ยันโจทก์ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดนั้นด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 427 เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัย ได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยที่จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดแล้ว จึงรับช่วงสิทธิ มาเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดได้


บทความเรื่องต่อไป ยังตัดสินใจไม่ถูกจะเลือกเรื่องใดมาเขียนดี กรุณาอดใจลองอ่านดูสัปดาห์หน้าก็แล้วกันครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น