(ตอนที่สาม)
เรามาคุยกันต่อในบทสรุปของเรื่องนี้นะครับ
ศาลได้พิจารณาในประเด็นข้อโต้แย้ง ดังนี้
1) ได้มีการเข้าครอบครอง
หรือใช้งานในช่วงงานก่อสร้างที่เกิดเหตุแล้วหรือยัง?
ตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ที่ระบุว่า
“ความรับผิดของผู้รับประกันภัยจะสิ้นสุดลงเช่นกัน
เมื่อส่วนใดๆ ของงานว่าจ้างที่ได้เอาประกันภัยไว้นั้นได้ถูกครอบครอง (taken over) หรือถูกใช้งาน (taken
into use) (แล้วแต่กรณีใดเกิดขึ้นก่อนกัน)
โดยผู้ว่าจ้าง ก่อนวันที่สิ้นสุดดังระบุไว้ในตารางกรมธรรม์ประกันภัย”
สำหรับคำว่า “ได้ถูกครอบครอง (taken
over)”
ศาลเห็นว่า ในวันที่เกิดเหตุน้ำท่วม 19 ธันวาคม ค.ศ. 2006 นั้น
รัฐบาลในฐานะผู้ว่าจ้างยังมิได้เข้าครอบครองงานก่อสร้างดังกล่าวบางส่วน
หรือทั้งหมดแต่ประการใด เนื่องจากมิได้มีการออกหนังสือรับมอบงานบางส่วนในช่วงงานที่เกิดเหตุ หรือในโครงการทั้งหมดให้แก่ผู้รับเหมาเลย ซึ่งผู้ว่าจ้างได้ออกหนังสือรับมอบงานทั้งโครงการ ก็เป็นวันที่
18
สิงหาคม ค.ศ. 2007 แล้ว
ในส่วนของคำว่า “ได้ถูกใช้งาน (taken
into use)” ตามเงื่อนไขของสัญญาว่าจ้างกำหนดให้การจราจรสามารถสัญจรไปมาได้ตลอดเวลา ในระหว่างการก่อสร้างดังกล่าว แม้จำต้องปิดกั้นบางพื้นที่ไปบ้างชั่วเวลาหนึ่ง
หลังจากทำงานเสร็จแล้ว ก็ต้องเปิดการจราจรต่อไปดังเดิม
ซึ่งบริษัทประกันภัยก็ได้รับทราบเงื่อนไขนี้ตั้งแต่แรก
และเวลาไปตรวจสอบความคืบหน้าของโครงการอีกด้วย
แม้จะอาศัยการตีความคำว่า “ได้ถูกใช้งาน (taken
into use)” ให้ตรงตัวตามอักษร ดังที่บริษัทประกันภัยกล่าวอ้าง
ก็ดูแล้วไม่น่าสมเหตุผล และสอดคล้องกับเจตนารมณ์อันแท้จริงของคู่สัญญานี้
เพราะในระยะเวลาความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า คือ ระหว่างวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 2002 ถึงวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 2005 บวกด้วยระยะเวลาบำรุงรักษา ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 2005 ถึงวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 2007 ต่อมาได้ ถูกแก้ไขโดยใบสลักหลังเป็นระหว่างวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 2002 ถึงวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 2007 และระยะเวลาบำรุงรักษาเป็นตั้งแต่วันที่ 1
มกราคม ค.ศ. 2007 ถึงวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 2009
นั่นหมายความว่า
ระยะเวลาบำรุงรักษาจะเริ่มนับตั้งแต่ระยะเวลาดังที่กำหนดข้างต้นรวมกันทั้งหมด
หรือนับตั้งแต่ช่วงพื้นที่ที่มีการใช้งานแล้ว แยกส่วนงานกันไปกันแน่ ถ้าเป็นอย่างหลังจริง
ส่วนงานที่ถูกใช้งานก็จะปราศจากความคุ้มครองสมบูรณ์ตามกรมธรรม์ประกันภัย
แม้จะมีการขยายเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติม “Endorsement
116 – Cover for insured contract works
taken over
or put into service” เอาไว้ก็ตาม
ความคุ้มครองก็จะถูกจำกัดเพียงสาเหตุที่เนื่องมาจากการก่อสร้างเท่านั้น
เชื่อว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น
รัฐบาลในฐานะผู้ว่าจ้างคงไม่อาจรับเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ได้ตั้งแต่ต้น
นอกจากนี้ หากความคุ้มครองสิ้นสุดลง
เมื่อมีการถูกใช้งานจริง ทำไมบริษัทประกันภัยยังคงขยายระยะเวลาเอาประกันภัย
และระยะเวลาบำรุงรักษาให้โดยไม่มีข้อโต้แย้งถึงสามครั้ง
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ขยายระยะเวลาดังกล่าวให้ทุกครั้งด้วยจำนวนเงินเอาประกันภัยเต็มทั้งหมดของโครงการ
โดยศาลเห็นพ้องกับความเห็นของผู้ประเมินวินาศภัย
ซึ่งเป็นพยานของบริษัทประกันภัยเอง ที่ว่า อันที่จริง
เวลาได้รับคำร้องขอให้ขยายระยะเวลาความคุ้มครองจากผู้เอา ประกันภัย บริษัทประกันภัยเองก็มีโอกาสที่จะทบทวนจำนวนเงินเอาประกันภัยใหม่ทั้งหมด ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงได้อยู่แล้ว
แต่กลับมิได้ทำเช่นนั้นเลย
การตีความคดีนี้จึงต้องใช้นัยที่เป็นผล
ด้วยเหตุนี้ บริษัทประกันภัยจำต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย ด้วยการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย
2) ความสูญเสีย หรือความเสียหายดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการก่อสร้างหรือไม่? และมิได้มีสาเหตุเนื่องจากความบกพร่องของวัสดุ
ฝีมือแรงงาน หรือการออกแบบผิดพลาด
อันจะอยู่ในข้อยกเว้นด้วย
สำหรับประเด็นข้อนี้
ชัดเจนแล้วว่า สาเหตุความเสียหายนี้เป็นเรื่องน้ำท่วมจากภัยธรรมชาติ
จึงไม่จำต้องพิจารณาเพิ่มเติมอีก
(อ้างอิงคดี Perembun Consortium & Anor. v AXA Affin General Insurance. Bhd. [2011] 6 MLJ 719)
คุณอ่านเรื่องนี้แล้ว มีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ?
และฝากช่วยคิดอีกเรื่องหนึ่งที่จะคุยกันในคราวหน้านะครับว่า
ถ้าเจ้าของโครงการไปซื้อตึกเก่ามาปรับปรุงใหม่ หากเกิดไฟไหม้ขึ้นมา โดยที่ผู้รับเหมายังมิได้เข้าไปทำงานในพื้นที่นั้นเลย
กรมธรรม์ประกันภัยการปฏิบัติงานตามสัญญา) (Contract Works Insurance) จะสามารถให้ความคุ้มครองได้หรือไม่?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น