วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เรื่องที่ 28 : ความสูญเสีย หรือความเสียหายโดยอ้อม (Indirect Loss or Damage) ความเหมือนที่แตกต่างระหว่างประกันภัยกับหลักกฎหมาย



(ตอนที่สาม)

ประเทศอังกฤษได้วางหลักเกณฑ์เรื่องนี้ขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1854 ในคดี Hadley v. Baxendale (1854) 9 Exch. 341 ที่ว่า บุคคลผู้ซึ่งละเมิดสัญญา ควรจะต้องรับผิดต่อคู่สัญญาผู้บริสุทธิ์อีกฝ่ายหนึ่ง สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังนี้
1)   กรณีที่หนึ่ง เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้น “โดยทั่วไป (natural)” หรือ “เป็นไปตามแนวทางการปฎิบัติทั่วไป” เมื่อมีการผิดสัญญา ซึ่งมักเรียกว่า เป็น “ความเสียหายโดยตรง (direct loss)ที่คู่สัญญาคาดหวังได้อย่างชัดเจน หรือบางครั้ง อาจเรียกเป็นความเสียหายใกล้ชิด เช่น ค่าใช้จ่ายในการแก้ไขข้อบกพร่อง
2)   กรณีที่สอง เป็นความเสียหายพิเศษเพิ่มเติมที่อาจคาดหวังได้ตามสมควรตั้งแต่ตอนที่ทำสัญญาว่า จะเกิดขึ้นได้ เมื่อมีการผิดสัญญา ซึ่งจะเรียกว่า “ความเสียหายสืบเนื่อง (consequential loss)” หรือ “ความเสียหายโดยอ้อม (indirect loss)” หรือบางครั้ง อาจเรียกเป็นความเสียหายห่างไกล (remoteness of damage) เช่น การสูญเสียกำไร หากคู่สัญญาในเวลาทำสัญญารับทราบว่า ความล่าช้าในการก่อสร้างโรงงานใหม่ อาจทำให้ผู้ว่าจ้างอาจสูญเสียงานรายใหญ่ไปได้

หากมีข้อกำหนดยกเว้นเรื่องความเสียหายสืบเนื่องเอาไว้ แนวทางการตีความของศาลในประเทศอังกฤษจะตีความเพียงเป็นการยกเว้นความเสียหายที่ตกอยู่ในกรณีที่สองเท่านั้น แต่ก็มิได้มีการขยายความไว้อย่างชัดเจนแน่นอนว่า ความเสียหายอะไรที่มักถือเป็น “ความเสียหายโดยตรง” หรือ “ความเสียหายสืบเนื่อง” ดังนั้น เมื่อมีการกำหนดข้อยกเว้นเรื่องความสูญเสียสืบเนื่อง หรือความเสียหายสืบเนื่องไว้ในข้อตกลงตามสัญญาแล้ว จะหมายความถึงความเสียหายในกรณีที่สองดังกล่าว ซึ่งคู่สัญญามักจะเชื่อว่า ได้ยกเว้นความรับผิดความเสียหายทุกอย่าง อันสืบเนื่องจากการผิดข้อสัญญาเอาไว้แล้ว รวมไปถึงการสูญเสียผลกำไรด้วย

แต่บ่อยครั้งที่กฎหมายได้ถูกตีความให้ถือว่า การสูญเสียกำไรเป็นความเสียหายโดยตรงไปด้วย เช่น ในคดี Deepak Fertilisers & Petrochemical Corporation Limited v. Davy McKee (London) Ltd. [1999] 1 All ER (Comm) 69 แม้จะมีการกำหนดยกเว้นความรับผิด “สำหรับการสูญเสียกำไรที่มุ่งหวัง หรือความเสียหายโดยอ้อม หรือความเสียหายสืบเนื่อง” เอาไว้ในข้อสัญญาแล้วก็ตาม แต่ศาลก็วินิจฉัยว่า ข้อกำหนดดังกล่าวมิได้ห้ามการเรียกร้องค่าเสียหายของค่าใช้จ่ายคงที่ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน อันเป็นผลมาจากการระเบิดที่โรงงานด้วย

ในทางปฎิบัติ จึงขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์ประกอบในการพิจารณา เมื่อจำต้องพิจารณาถึงความเสียหายจากการสูญเสียกำไร ศาลอังกฤษถือว่า การสูญเสียกำไรอาจจัดเป็นได้ทั้งความเสียหายโดยตรง หรือโดยอ้อมก็ได้ ฉะนั้น ถ้ามีเจตนาที่จะยกเว้น หรือที่จะรับผิดเรื่องการสูญเสียกำไร ควรต้องกำหนดลงไปให้ชัดเจนดีกว่า

เช่นเดียวกับการสูญเสียรายได้ ในคดี McCain Foods (GB) Ltd v Eco-Tec Europe Ltd, [2011] EWHC 66 ศาลวินิจฉัยว่า ข้อตกลงของคู่สัญญาที่ระบุยกเว้นความรับผิดสำหรับ “ความเสียหายโดยอ้อม ความเสียหายพิเศษ ความเสียหายโดยบังเอิญ และความเสียหายสืบเนื่อง (indirect, special, incidental and consequential damages)” มิได้ห้ามมิให้โจทก์เรียกร้องการสูญเสียรายได้ อันเป็นผลมาจากการที่ระบบที่จำเลยจัดทำขึ้นมาไม่ทำงาน การสูญเสียรายได้ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นตามปกติทั่วไปจากการผิดสัญญา และมิได้ถือเป็นเหตุการณ์พิเศษที่ควรต้องตกลงกันล่วงหน้า เมื่อข้อตกลงตามสัญญาว่าจ้างเพื่อให้ใช้งานได้ ความเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการไม่สามารถใช้งานได้ หรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้น จึงถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยตรง มากกว่าที่จะเป็นสิ่งที่สืบเนื่องมา ดังนั้น จึงมิได้ตกอยู่ในข้อยกเว้นเรื่องความเสียหายโดยอ้อม และความเสียหายสืบเนื่องดังกล่าว

ศาลในประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ได้ยอมรับหลักเกณฑ์ดังกล่าวของประเทศอังกฤษเป็นแนวทางเรื่อยมา แต่ภายหลังเริ่มมีแนวความคิดที่แตกต่างออกไป

ในคดี Environmental Systems Pty Ltd v Peerless Holdings Pty Ltd (2008) 19 VR 358; [2008] VSCA 26 (Peerless) ที่ศาลอุทธรณ์ของประเทศออสเตรเลีย มีความเห็นแตกต่างออกไปว่า ความเสียหายสามารถจำแนกออกได้เป็น
1)   ความเสียหายปกติ (normal) ที่ผู้เสียหายทุกรายจะได้รับในสถานการณ์เช่นว่านั้น
2)   ความเสียหายอื่นใดนอกเหนือจากความเสียหายปกตินั้น ซึ่งรวมถึงความเสียหายอย่างเช่น การสูญเสียกำไร หรือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการผิดสัญญาด้วย

โดยในคดี Peerless จะพูดถึง “ความเสียหายปกติ (normal loss)” ขณะที่ในคดี Hadley v Baxendale จะพูดถึง “ความเสียหายทั่วไป (natural loss)” แต่คดี Peerless ก็มิได้ให้แนวทางว่า จะกำหนดเกณฑ์วัดค่าเสียหายกันอย่างไร? ทำให้อาจเกิดคำถามขึ้นมาได้ว่า ความเสียหายใดจัดเป็น “ความเสียหายปกติ (normal loss)” จึงขึ้นอยู่กับถ้อยคำในสัญญาเป็นเกณฑ์มากกว่า

ศาลในคดี Peerless ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า เจตนาที่สำคัญอย่างหนึ่งของคู่สัญญาในเรื่องของความเสียหายสืบเนื่อง เพื่อยกเว้นความรับผิดของการสูญเสียกำไร ควรให้อยู่ในความหมายตามแนวทางปฎิบัติทางการค้าทั่วไปมากกว่าให้อยู่ในความหมายทางด้านกฎหมาย อันที่จริง ศาลของประเทศอังกฤษก็ให้ความเห็นเสริมไว้ในทำนองเดียวกัน เพียงแต่ความเสียหายสืบเนื่องของประเทศออสเตรเลียจะให้ความหมายที่กว้างกว่าของประเทศอังกฤษ และจำกัดค่าเสียหายที่จะได้รับการชดใช้ภายใต้สัญญาที่ยกเว้น “ความเสียหายสืบเนื่อง” ให้แคบลงไป ดังนั้น ในอนาคต เมื่อแนวทางปฎิบัติทางการค้าเปลี่ยนไป ความหมายของคำว่า “ความเสียหายสืบเนื่อง” ก็อาจจำต้องเปลี่ยนตามไปด้วย

ด้วยเหตุนี้ ในการกำหนดข้อยกเว้นให้ได้ผล จะต้องระบุออกไปให้ชัดเจนว่า ไม่คุ้มครองความเสียหายอะไรบ้าง? บ่อยครั้งที่คู่สัญญามักจะร่างข้อยกเว้นเรื่องความเสียหายสืบเนื่อง โดยปราศจากความเข้าใจในความหมายอย่างชัดแจ้งว่า ความเสียหายอะไรที่ไม่ประสงค์จะให้ความคุ้มครอง

ในข้อยกเว้นหลายข้อที่กำหนดยกเว้น “ความเสียหายพิเศษ ความเสียหายโดยอ้อม หรือความเสียหายสืบเนื่อง” ซึ่งในแง่การตีความทางกฎหมาย คำว่า “ความเสียหายโดยอ้อม” กับ “ความเสียหายสืบเนื่อง” จะหมายถึงสิ่งเดียวกัน แต่ถ้าศาลพิจารณาคำว่า “ความเสียหายพิเศษ” ก็จะมีความหมายที่แตกต่างออกไป

จากหลักกฎหมายข้างต้นที่หยิบยกประเด็นมาจากข้อพิพาทการไม่ต้องรับผิดในเรื่องความเสียหายสืบเนื่อง หรือความเสียหายโดยอ้อม เพื่อให้เราสามารถเทียบเคียงได้ว่า เวลาพิจารณาให้ความคุ้มครองความเสียหายสืบเนื่องแล้ว ควรจำต้องระบุออกมาอย่างชัดเจนอย่างไร? เพื่อจะได้ลดโอกาสที่จะเกิดข้อพิพาทในภายหลัง

เมื่อทำความเข้าใจเรื่องนี้แล้ว พอกลับมาพิจารณาถึงข้อยกเว้นประเด็นนี้ในกรมธรรม์ประกันภัยบางฉบับ คุณมีความเข้าใจแตกต่างออกไปบ้างไหมครับ?

ยกตัวอย่าง

ก) กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ซึ่งกำหนดข้อยกเว้นในหมวดที่ 3 ก สาเหตุของความเสียหายที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง ข้อ 2.2 ที่ระบุว่า
2. ความเสียหายอันมีสาเหตุมาจาก หรือเกิดขึ้นจาก
     2.2  การหยุดทำงาน การล่าช้า การสูญเสียตลาด หรือความเสียหายต่อเนื่อง หรือความเสียหายโดยอ้อมไม่ว่าลักษณะใดๆ ก็ตาม

ข) กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยทั่วไป ในข้อยกเว้นที่ระบุว่า
กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ไม่คุ้มครอง
     5)  ความเสียหายต่อเนื่องใดๆ ทุกชนิดเว้นแต่การสูญเสียรายได้จากค่าเช่าที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ว่าได้รับความคุ้มครอง

หมายเหตุ
คำว่า “ความเสียหายต่อเนื่อง (consequential loss)” ในข้อยกเว้นทั้งสองกรมธรรม์ประกันภัย น่าจะพิมพ์ผิด ควรใช้คำว่า “ความเสียหายสืบเนื่อง” แทนมากกว่า เพื่อจะได้สอดคล้องโดยเฉพาะกับคำนิยามของกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยนั้นเอง และกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักที่เกี่ยวข้อง

แล้วถ้าบริษัทประกันภัยเกิดประวิงการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินทั่วไป ผู้เอาประกันภัยจะสามารถเรียกร้องความเสียหายสืบเนื่องทางการเงินเพิ่มเติม นอกเหนือจากค่าดอกเบี้ยตามกฎหมายได้อีกหรือไม่?

คุณคิดว่าอย่างไรครับ? อยากทราบผล ก็อดใจรอตอนต่อไปนะครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น