(ตอนที่สาม)
ประเทศอังกฤษได้วางหลักเกณฑ์เรื่องนี้ขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1854 ในคดี Hadley v. Baxendale (1854)
9 Exch. 341 ที่ว่า บุคคลผู้ซึ่งละเมิดสัญญา
ควรจะต้องรับผิดต่อคู่สัญญาผู้บริสุทธิ์อีกฝ่ายหนึ่ง
สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังนี้
1) กรณีที่หนึ่ง เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้น “โดยทั่วไป
(natural)” หรือ “เป็นไปตามแนวทางการปฎิบัติทั่วไป”
เมื่อมีการผิดสัญญา ซึ่งมักเรียกว่า เป็น “ความเสียหายโดยตรง (direct loss)”
ที่คู่สัญญาคาดหวังได้อย่างชัดเจน หรือบางครั้ง
อาจเรียกเป็นความเสียหายใกล้ชิด เช่น ค่าใช้จ่ายในการแก้ไขข้อบกพร่อง
2) กรณีที่สอง
เป็นความเสียหายพิเศษเพิ่มเติมที่อาจคาดหวังได้ตามสมควรตั้งแต่ตอนที่ทำสัญญาว่า
จะเกิดขึ้นได้ เมื่อมีการผิดสัญญา ซึ่งจะเรียกว่า “ความเสียหายสืบเนื่อง (consequential loss)” หรือ “ความเสียหายโดยอ้อม (indirect loss)” หรือบางครั้ง อาจเรียกเป็นความเสียหายห่างไกล (remoteness
of damage) เช่น
การสูญเสียกำไร หากคู่สัญญาในเวลาทำสัญญารับทราบว่า
ความล่าช้าในการก่อสร้างโรงงานใหม่ อาจทำให้ผู้ว่าจ้างอาจสูญเสียงานรายใหญ่ไปได้
หากมีข้อกำหนดยกเว้นเรื่องความเสียหายสืบเนื่องเอาไว้
แนวทางการตีความของศาลในประเทศอังกฤษจะตีความเพียงเป็นการยกเว้นความเสียหายที่ตกอยู่ในกรณีที่สองเท่านั้น
แต่ก็มิได้มีการขยายความไว้อย่างชัดเจนแน่นอนว่า ความเสียหายอะไรที่มักถือเป็น “ความเสียหายโดยตรง”
หรือ “ความเสียหายสืบเนื่อง” ดังนั้น
เมื่อมีการกำหนดข้อยกเว้นเรื่องความสูญเสียสืบเนื่อง
หรือความเสียหายสืบเนื่องไว้ในข้อตกลงตามสัญญาแล้ว
จะหมายความถึงความเสียหายในกรณีที่สองดังกล่าว ซึ่งคู่สัญญามักจะเชื่อว่า
ได้ยกเว้นความรับผิดความเสียหายทุกอย่าง อันสืบเนื่องจากการผิดข้อสัญญาเอาไว้แล้ว
รวมไปถึงการสูญเสียผลกำไรด้วย
แต่บ่อยครั้งที่กฎหมายได้ถูกตีความให้ถือว่า
การสูญเสียกำไรเป็นความเสียหายโดยตรงไปด้วย เช่น ในคดี Deepak Fertilisers
& Petrochemical Corporation Limited v. Davy McKee (London) Ltd. [1999] 1 All ER (Comm) 69 แม้จะมีการกำหนดยกเว้นความรับผิด
“สำหรับการสูญเสียกำไรที่มุ่งหวัง หรือความเสียหายโดยอ้อม หรือความเสียหายสืบเนื่อง”
เอาไว้ในข้อสัญญาแล้วก็ตาม แต่ศาลก็วินิจฉัยว่า
ข้อกำหนดดังกล่าวมิได้ห้ามการเรียกร้องค่าเสียหายของค่าใช้จ่ายคงที่
และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน อันเป็นผลมาจากการระเบิดที่โรงงานด้วย
ในทางปฎิบัติ จึงขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์ประกอบในการพิจารณา
เมื่อจำต้องพิจารณาถึงความเสียหายจากการสูญเสียกำไร ศาลอังกฤษถือว่า
การสูญเสียกำไรอาจจัดเป็นได้ทั้งความเสียหายโดยตรง หรือโดยอ้อมก็ได้ ฉะนั้น
ถ้ามีเจตนาที่จะยกเว้น หรือที่จะรับผิดเรื่องการสูญเสียกำไร
ควรต้องกำหนดลงไปให้ชัดเจนดีกว่า
เช่นเดียวกับการสูญเสียรายได้ ในคดี McCain Foods (GB) Ltd v Eco-Tec
Europe Ltd, [2011] EWHC 66 ศาลวินิจฉัยว่า ข้อตกลงของคู่สัญญาที่ระบุยกเว้นความรับผิดสำหรับ “ความเสียหายโดยอ้อม
ความเสียหายพิเศษ ความเสียหายโดยบังเอิญ และความเสียหายสืบเนื่อง (indirect,
special, incidental and consequential damages)”
มิได้ห้ามมิให้โจทก์เรียกร้องการสูญเสียรายได้
อันเป็นผลมาจากการที่ระบบที่จำเลยจัดทำขึ้นมาไม่ทำงาน
การสูญเสียรายได้ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นตามปกติทั่วไปจากการผิดสัญญา
และมิได้ถือเป็นเหตุการณ์พิเศษที่ควรต้องตกลงกันล่วงหน้า
เมื่อข้อตกลงตามสัญญาว่าจ้างเพื่อให้ใช้งานได้ ความเสียหายต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นจากการไม่สามารถใช้งานได้ หรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้น
จึงถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยตรง มากกว่าที่จะเป็นสิ่งที่สืบเนื่องมา ดังนั้น
จึงมิได้ตกอยู่ในข้อยกเว้นเรื่องความเสียหายโดยอ้อม
และความเสียหายสืบเนื่องดังกล่าว
ศาลในประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ได้ยอมรับหลักเกณฑ์ดังกล่าวของประเทศอังกฤษเป็นแนวทางเรื่อยมา
แต่ภายหลังเริ่มมีแนวความคิดที่แตกต่างออกไป
ในคดี Environmental
Systems Pty Ltd v Peerless Holdings Pty Ltd (2008) 19 VR 358; [2008] VSCA 26 (Peerless) ที่ศาลอุทธรณ์ของประเทศออสเตรเลีย
มีความเห็นแตกต่างออกไปว่า ความเสียหายสามารถจำแนกออกได้เป็น
1) ความเสียหายปกติ (normal) ที่ผู้เสียหายทุกรายจะได้รับในสถานการณ์เช่นว่านั้น
2) ความเสียหายอื่นใดนอกเหนือจากความเสียหายปกตินั้น
ซึ่งรวมถึงความเสียหายอย่างเช่น การสูญเสียกำไร หรือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการผิดสัญญาด้วย
โดยในคดี Peerless จะพูดถึง
“ความเสียหายปกติ (normal loss)” ขณะที่ในคดี Hadley
v Baxendale จะพูดถึง “ความเสียหายทั่วไป (natural
loss)” แต่คดี Peerless ก็มิได้ให้แนวทางว่า
จะกำหนดเกณฑ์วัดค่าเสียหายกันอย่างไร? ทำให้อาจเกิดคำถามขึ้นมาได้ว่า
ความเสียหายใดจัดเป็น “ความเสียหายปกติ (normal loss)” จึงขึ้นอยู่กับถ้อยคำในสัญญาเป็นเกณฑ์มากกว่า
ศาลในคดี Peerless ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า
เจตนาที่สำคัญอย่างหนึ่งของคู่สัญญาในเรื่องของความเสียหายสืบเนื่อง เพื่อยกเว้นความรับผิดของการสูญเสียกำไร
ควรให้อยู่ในความหมายตามแนวทางปฎิบัติทางการค้าทั่วไปมากกว่าให้อยู่ในความหมายทางด้านกฎหมาย
อันที่จริง ศาลของประเทศอังกฤษก็ให้ความเห็นเสริมไว้ในทำนองเดียวกัน เพียงแต่ความเสียหายสืบเนื่องของประเทศออสเตรเลียจะให้ความหมายที่กว้างกว่าของประเทศอังกฤษ
และจำกัดค่าเสียหายที่จะได้รับการชดใช้ภายใต้สัญญาที่ยกเว้น “ความเสียหายสืบเนื่อง”
ให้แคบลงไป ดังนั้น ในอนาคต เมื่อแนวทางปฎิบัติทางการค้าเปลี่ยนไป
ความหมายของคำว่า “ความเสียหายสืบเนื่อง” ก็อาจจำต้องเปลี่ยนตามไปด้วย
ด้วยเหตุนี้ ในการกำหนดข้อยกเว้นให้ได้ผล จะต้องระบุออกไปให้ชัดเจนว่า
ไม่คุ้มครองความเสียหายอะไรบ้าง?
บ่อยครั้งที่คู่สัญญามักจะร่างข้อยกเว้นเรื่องความเสียหายสืบเนื่อง
โดยปราศจากความเข้าใจในความหมายอย่างชัดแจ้งว่า ความเสียหายอะไรที่ไม่ประสงค์จะให้ความคุ้มครอง
ในข้อยกเว้นหลายข้อที่กำหนดยกเว้น “ความเสียหายพิเศษ
ความเสียหายโดยอ้อม หรือความเสียหายสืบเนื่อง” ซึ่งในแง่การตีความทางกฎหมาย
คำว่า “ความเสียหายโดยอ้อม” กับ “ความเสียหายสืบเนื่อง”
จะหมายถึงสิ่งเดียวกัน แต่ถ้าศาลพิจารณาคำว่า “ความเสียหายพิเศษ” ก็จะมีความหมายที่แตกต่างออกไป
จากหลักกฎหมายข้างต้นที่หยิบยกประเด็นมาจากข้อพิพาทการไม่ต้องรับผิดในเรื่องความเสียหายสืบเนื่อง
หรือความเสียหายโดยอ้อม เพื่อให้เราสามารถเทียบเคียงได้ว่า
เวลาพิจารณาให้ความคุ้มครองความเสียหายสืบเนื่องแล้ว
ควรจำต้องระบุออกมาอย่างชัดเจนอย่างไร?
เพื่อจะได้ลดโอกาสที่จะเกิดข้อพิพาทในภายหลัง
เมื่อทำความเข้าใจเรื่องนี้แล้ว พอกลับมาพิจารณาถึงข้อยกเว้นประเด็นนี้ในกรมธรรม์ประกันภัยบางฉบับ
คุณมีความเข้าใจแตกต่างออกไปบ้างไหมครับ?
ยกตัวอย่าง
ก) กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ซึ่งกำหนดข้อยกเว้นในหมวดที่ 3 ก สาเหตุของความเสียหายที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง
ข้อ 2.2 ที่ระบุว่า
“2. ความเสียหายอันมีสาเหตุมาจาก
หรือเกิดขึ้นจาก
2.2 การหยุดทำงาน
การล่าช้า การสูญเสียตลาด หรือความเสียหายต่อเนื่อง หรือความเสียหายโดยอ้อมไม่ว่าลักษณะใดๆ
ก็ตาม”
ข) กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยทั่วไป ในข้อยกเว้นที่ระบุว่า
“กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ไม่คุ้มครอง
5) ความเสียหายต่อเนื่องใดๆ
ทุกชนิดเว้นแต่การสูญเสียรายได้จากค่าเช่าที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ว่าได้รับความคุ้มครอง”
หมายเหตุ
คำว่า “ความเสียหายต่อเนื่อง (consequential loss)”
ในข้อยกเว้นทั้งสองกรมธรรม์ประกันภัย น่าจะพิมพ์ผิด ควรใช้คำว่า “ความเสียหายสืบเนื่อง”
แทนมากกว่า เพื่อจะได้สอดคล้องโดยเฉพาะกับคำนิยามของกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยนั้นเอง
และกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักที่เกี่ยวข้อง
แล้วถ้าบริษัทประกันภัยเกิดประวิงการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย
ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินทั่วไป
ผู้เอาประกันภัยจะสามารถเรียกร้องความเสียหายสืบเนื่องทางการเงินเพิ่มเติม
นอกเหนือจากค่าดอกเบี้ยตามกฎหมายได้อีกหรือไม่?
คุณคิดว่าอย่างไรครับ? อยากทราบผล ก็อดใจรอตอนต่อไปนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น