เรื่องที่ 164 : การตีความสาเหตุใกล้ชิด (Proximate Cause) ระหว่างสองภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นติดตามกันมา
ตัวอย่างคดีศึกษาที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งในธุรกิจประกันภัย
เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่า ประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งมีสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เป็นเกาะกลางมหาสมุทร มักจะประสบปัญหาจากภัยธรรมชาติอยู่เนือง ๆ
ดั่งเช่นในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) ได้เกิดมหันตภัยที่ร้ายแรงสองเหตุการณ์ติดตามกันมา ซึ่งมีลำดับเหตุการณ์ โดยขอหยิบยกข้อมูลซึ่งอ้างอิงมาจากบทความภูเขาไฟปินาตูโบ เกาะลูซอนของสำนักข่าวสัปะรด เผยแพร่ไว้เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2541 (สืบค้นมาจาก https://pineapplenewsagency.com/th/c231/ภูเขาไฟปินาตูโบ+เกาะลูซอน) ดังนี้
วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2534 ภูเขาไฟปินาตูโบ (Mount Pinatubo) บนเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ เกิดการปะทุครั้งแรก หลังจากภูเขาไฟลูกนี้หลับใหลมาเป็นเวลายาวนานถึง 600 ปี การปะทุครั้งนั้นนับเป็นการปะทุครั้งรุนแรงเป็นอันดับสองของศตวรรษที่ 20 ภายหลังการปะทุของภูเขาไฟโนวารัปตา (Novarupta) ในอลาสกาเมื่อปี พ.ศ. 2455
ภูเขาไฟปินาตูโบ มีลักษณะเป็นภูเขาไฟประเภทกรวยสลับชั้นที่มีพลังอยู่ มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,750 เมตร ตั้งอยู่ห่างจากกรุงมะนิลาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเพียง 87 กิโลเมตร ไม่ไกลจากภูเขาไฟเป็นที่ตั้งของฐานทัพอเมริกาขนาดใหญ่สองแห่งคือ ฐานทัพเรือที่ซูบิกเบย์ (The U.S. Naval Base Subic Bay) อยู่ห่างจากภูเขาไฟเพียง 37 กิโลเมตร และฐานทัพอากาศคลาร์ก (Clark Air Base) อยู่ห่างจากภูเขาไฟเพียง 14 กิโลเมตรเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้ภูเขาไฟลูกนี้ประมาณ 6 ล้านคน
ผลกระทบจากการระเบิดในครั้งนั้น ทำให้กองทัพอเมริกันต้องอพยพประชาชนอเมริกันกว่า 20,000 คนโดยไม่มีใครกลับมาอีกเลย รัฐบาลฟิลิปปินส์จึงเปลี่ยนซูบิกเบย์เป็นเมืองท่าปลอดภาษี ส่วนฐานทัพอากาศคลาร์กถูกเปลี่ยนเป็นเมืองศูนย์กลางด้านธุรกิจ การบิน และการท่องเที่ยว
Timeline การระเบิดของภูเขาไฟ
วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงบนเกาะลูซอน วัดได้ 7.8 ริกเตอร์ ถือเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดที่วัดได้ในปี พ.ศ. 2533 (มีขนาดใกล้เคียงกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ซานฟรานซิสโกเมื่อปี พ.ศ. 2449 และที่มณฑลเสฉวนปี พ.ศ. 2551) หลังจากนั้นก็มีเสียงสั่นสะเทือนและแผ่นดินไหวตามมาอีกหลายครั้ง ทำให้ภูเขาไฟปินาตูโบที่สงบมาเป็นเวลาหลายร้อยปีกลับมามีชีวิต
วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2534 การเตือนครั้งแรกของปินาตูโบเริ่มขึ้น เกิดการปะทุและระเบิดขึ้นบริเวณยอดเขา ขี้เถ้าภูเขาไฟลอยออกไปไกล 10 กิโลเมตร ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ถูกปล่อยออกมาในปริมาณที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือการประกาศเตือนของภูเขาไฟ ปินาตูโบถึงเหตุการณ์อันเลวร้ายที่กำลังจะตามมา
วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2534 แรงดันมหาศาลภายใต้พื้นโลกทำให้ปินาตูโบปะทุครั้งแรก เศษหินและเถ้าถ่านจากการปะทุพวยพุ่งขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศสูงถึง 5.3 ไมล์ (ราว 8.5 กิโลเมตร) บ่งบอกให้รู้ว่าแม็กมาอยู่ใกล้กับพื้นผิวโลกมากและพร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ ทำให้รัฐบาลต้องประกาศระดับความรุนแรงเป็นระดับ 4 และประกาศให้เขตรัศมี 20 กิโลเมตรรอบภูเขาไฟเป็นเขตอันตราย
วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2534 เถ้าถ่านปริมาณมหาศาลพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงถึง 12 ไมล์ (ราว 19 กิโลเมตร) ควันและเถ้าถ่านที่ลอยปกคลุมท้องฟ้าทำให้บรรยากาศตอนกลางวันมืดมิดราวกับกลางคืน แต่การระเบิดครั้งดังกล่าวถือเป็นแค่เพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
กระทั่งวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2534 เหตุการณ์หายนะทางธรรมชาติครั้งใหญ่สุดในศตวรรษที่ 20 ได้เกิดขึ้น พลังงานที่สะสมอยู่ภายในภูเขาไฟเทียบเท่ากับระเบิดปรมาณูที่ระเบิดที่ฮิโรชิมารวมกันกว่า 200,000 ลูก ก่อให้เกิดการระเบิดแบบพวยพุ่งที่มีความเร็ว 100 ไมล์ต่อชั่วโมง (160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) พร้อมกับแม็กมาปริมาณ 5 ลูกบาศก์กิโลเมตรได้ระเบิดขึ้นไปจนถึงชั้นบรรยากาศสตราโทสเฟียร์ ทำให้พื้นที่โดยรอบในรัศมี 40 กิโลเมตรถูกปกคลุมด้วยเถ้าภูเขาไฟจนมืดสนิท สะเก็ดก้อนหินจากการระเบิดทำลายอาคารบ้านเรือน นอกจากนี้ แรงระเบิดยังทำให้ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และก๊าซอื่น ๆ อีกกว่า 20 ล้านตัน ลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศสตราโทสเฟียร์ไปผสมกับความชื้น กลายเป็นเมฆปกคลุมรอบโลกนานถึง 21 วัน และส่งผลให้อุณหภูมิโลกลดลง 0.5 องศาเซลเซียส ในอีก 3 ปีถัดมา (พ.ศ. 2534 - 2536)
และในวันเดียวกันนั้นเอง ยังได้เกิดเหตุการณ์ทางธรรมชาติที่แสนจะบังเอิญ ซ้ำเติมชาวฟิลิปปินส์เข้าไปอีก นั่นคือ พายุไต้ฝุ่นยุนย่า (Typhoon Yunya) ที่มีความเร็วลม 195 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้พัดขึ้นเกาะลูซอน ส่งผลให้หินดินโคลนรวมถึงเถ้าถ่านภูเขาไฟหลายพันตันรวมตัวกับน้ำฝนที่ตกลงมาจนกลายเป็นพายุโคลนขี้เถ้าภูเขาไฟ และส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนทิศทางการไหลของกระแสน้ำที่ไหลผ่านปินาตูโบ พัดทำลายและกวาดเอาทุกอย่างที่ผ่านให้ไหลลงสู่ที่ราบลุ่ม ก่อให้เกิดการไหลของโคลนหินตะกอนภูเขาไฟเป็นทางยาว คนฟิลิปปินส์เรียกร่องรอยการไหลของโคลนหินตะกอนภูเขาไฟนี้ว่า ลาฮา (lahar) ปัจจุบันที่ซูบิกเบย์ยังคงมีร่องรอยของลาฮานี้ปรากฏให้เห็น
หลังจากผ่านไปสองวัน บริเวณนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นละอองสีขาวเทา พื้นดินกลายเป็นพื้นโคลนไม่มีความสวยงามของธรรมชาติหลงเหลืออยู่ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าก่อนหน้านี้เคยมีผู้คนอาศัยอยู่
การระเบิดของภูเขาไฟปินาตูโบในปี พ.ศ. 2534 ถูกประกาศระดับความรุนแรง VEI 6 (VEI - Volcanic Explosivity Index ดัชนีการระเบิดของภูเขาไฟ ที่มีระดับความรุนแรงตั้งแต่ 0-8 ยิ่งตัวเลขสูงแสดงว่าการระเบิดยิ่งรุนแรง) นับได้ว่าเป็นการระเบิดครั้งใหญ่เกือบเทียบเท่ากับการระเบิดของภูเขาไฟกรากะตัว ที่อินโดนีเซียเมื่อปี พ.ศ. 2426
การระเบิดของภูเขาไฟปินาตูโบครั้งนั้น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 800 คน ไร้ที่อยู่อาศัยอีกราว 200,000 คน หลายพื้นที่ไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปาใช้ พื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตรเสียหายเกือบ 1,000 ตารางกิโลเมตร สัตว์เลี้ยงของเกษตรกรตายไป 800,000 ตัว
โชคดีที่พวกเขาได้รับการแจ้งเตือนจากนักวิทยาศาสตร์ฟิลิปปินส์ที่คอยเฝ้าดูภูเขาไฟปินาตูโบ ทำให้สามารถอพยพออกจากบริเวณนั้นได้อย่างทันท่วงที มิฉะนั้นอาจเกิดความสูญเสียไปมากกว่านี้
ในแง่การประกันภัย
ผลของภูเขาไฟปินาตูโบได้ก่อให้เกิดเถ้าถ่านภูเขาไฟปกคลุมทับถมอยู่บนหลังคาอาคารที่เอาประกันภัย ณ เมืองแองเจลีส บนเกาะลูซอน
ครั้นเมื่อพายุไต้ฝุ่นยุนย่าพัดผ่านติดตามเข้ามา ทำให้เกิดฝนตกอย่างหนัก จนส่งผลทำให้อาคารที่เอาประกันภัยหลังนั้นพังถล่มลงมาในท้ายที่สุด
ก่อให้เกิดปัญหาข้อถกเถียงระหว่างผู้เอาประกันภัยกับบริษัทประกันภัยซึ่งคุ้มครองอาคารหลังนั้นว่า
หลังคาที่พังถล่มลงมานั้นมีสาหตุจากภัยแผ่นดินไหว หรือภัยลมพายุกันแน่?
เนื่องจากกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินฉบับพิพาทนี้คุ้มครองเพียงภัยลมพายุ แต่ไม่คุ้มครองภัยแผ่นดินไหว
ผู้เอาประกันภัยเรียกร้องให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากภัยลมพายุ
แต่บริษัทประกันภัยหยิบยกข้อยกเว้นเรื่องภัยภูเขาไฟซึ่งเป็นต้นเหตุแรกสุดมาปฏิเสธ
คดีนี้ได้ถึงที่สุดในชั้นศาลอุทธรณ์ของประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งได้วินิจฉัยว่า
ถึงแม้ปรากฏมีเถ้าถ่านภูเขาไฟปินาตูโบปกคลุมทับถมอยู่บนหลังคาอาคารที่เอาประกันภัยนั้นอยู่เป็นลำดับแรกก็ตาม แต่มิได้สร้างความเสียหายใดขึ้นมา จวบจนกระทั่งได้มีพายุไต้ฝุ่นยุนย่าพัดผ่านติดตามเข้ามา ส่งผลทำให้ฝนตกอย่างหนัก และน้ำฝนก็ได้แทรกซึมสะสมปนอยู่กับเถ้าถ่านภูเขาไฟนั้นเอง จนเกิดน้ำหนักแรงสะสมมากขึ้นไปเรื่อย ๆ กระทั่งหลังคาอาคารนั้นพังถล่มลงมาท้ายที่สุด
ด้วยเหตุนี้ จึงพิจารณาได้ว่า ภัยลมพายุดังกล่าวเป็นสาเหตุที่แท้จริงในการก่อให้เกิดความเสียหายนี้ มิใช่ภัยภูเขาไฟแต่ประการใด
(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากบทความ Insurance and a Volcanic Crisis—A Tale of One (Big) Eruption, Two Insurers, and Innumerable Insureds โดยสืบค้นจาก
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
และที่ https://www.facebook.com/BestTrainingAdvisory
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น