เรื่องที่ 155 : ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) จะได้รับความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักหรือไม่?
(ตอนที่สาม)
ตัวอย่างคดีพิพาทนี้เกิดขึ้น ณ ประเทศออสเตรเลีย
ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเรื่องค่าเสื่อมราคาควรถูกหักออกไปหรือไม่? ด้วยมติเอกฉันทน์ว่า
แม้นตามระบบบัญชีจะมีการให้หักค่าเสื่อมราคาออกไปจากกำไรขั้นต้นก็ตาม แต่มิได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกระแสเงินสุด (Cash Flow)
ครั้นเมื่อพิจารณาถึงถ้อยคำของกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักตรงที่เขียนว่า “(payable out of Gross Profit) กำไรขั้นต้นที่เอาประกันภัย” นั้น หมายความถึง “ซึ่งสามารถชำระหนี้ได้, ซึ่งสามารถจ่ายได้ (may, can be paid, due)”
มิได้ใช้คำว่า “ให้หักออก (deducted)”
โดยแนวทางปฏิบัติ เมื่อธุรกิจได้รับผลกระทบ กระแสเงินสดถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากแก่ผู้เอาประกันภัย เนื่องด้วยยังมีค่าใช้จ่ายคงที่ซึ่งคงจำต้องจ่ายออกไปเช่นเดิมอยู่ เป็นต้นว่า เงินเดือนค่าจ้าง ค่าเช่า และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอื่น ๆ ศาลอุทธรณ์จึงเห็นว่า การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยอาศัยหลักกระแสเงินสดเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
ฉะนั้น พิพากษากลับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น โดยให้บริษัทประกันภัยชดใช้ ด้วยการคำนวณไม่นำค่าเสื่อมราคามาหักออกเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการที่ประหยัดได้ (Savings)
(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Mobis Parts Australia Pty Ltd v XL Insurance Company SE [2018] NSWCA 342)
ข้อสรุป
โดยหลักการของการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักจะถูกคำนวณด้วยการใช้สูตรที่กำหนดเป็นเกณฑ์ ประกอบกับถ้อยคำที่เขียนเอาไว้ด้วยเป็นสำคัญ ทั้งจะยังคงอยู่ภายในกรอบของหลักการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนซึ่งมีเจตนารมณ์มิให้ผู้เอาประกันภัยแสวงหากำไรจากการประกันภัยดังเดิม
อนึ่ง ตามแนวปฏิบัติด้านบัญชี มีการลงตัวเลขงบบัญชีอยู่สองแนวทาง กล่าวคือ EBIT (Earnings before Interest & Tax) คือ กำไรจากการดำเนินงาน หักด้วยค่าเสื่อมราคา และค่าจัดจำหน่าย แต่ค่าใช้จ่ายเหล่านั้นไม่ได้ถูกจ่ายออกไปจริง จึงถูกบวกกลับเข้าไปที่กำไรจากการดำเนินงาน และกลายเป็น EBITDA ซึ่ง EBITDA (Earnings Before Interest, Tax, Depreciation and Amortization) คือ EBIT บวกด้วย ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) และ ค่าจัดจำหน่าย (Amortization) ซึ่งถูกมองว่าเป็นความสามารถในการดำเนินงานที่แท้จริงของธุรกิจ ในการสร้างกระแสเงินสดกลับมา
(สืบค้นมาจาก https://www.myaccount-cloud.com/Article/Detail/101646)
เป็นคุณประโยชน์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยตามเจตนารมณ์มากกว่าหรือเปล่า?
ลองไปไล่เลียงข้อความของกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (เนื่องจากภัยที่เอาประกันภัย ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน) ฉบับมาตรฐานของประเทศไทย ดังนี้
1) ข้อกำหนดความคุ้มครองเฉพาะ แบบ 1 สำหรับการประกันภัยกำไรขั้นต้น (แบบหลักเกณฑ์ผลต่าง)
“คำจำกัดความ
กำไรขั้นต้น หมายความถึง จำนวนเงิน ที่ได้จาก
(1) ผลรวมของยอดรายได้ กับ มูลค่าสินค้าคงคลังปลายงวด
ที่เกินกว่า
(2) ผลรวมของมูลค่าสินค้าคงคลังต้นงวด กับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ไม่เอาประกันภัย
หมายเหตุ: มูลค่าของสินค้าคงคลังต้นงวดและปลายงวด คำนวณโดยวิธีการทางบัญชีตามปกติของผู้เอาประกันภัย หักด้วยมูลค่าที่ลดลงตามความเสื่อมสภาพของสินค้า (ถ้ามี)”
2) ข้อกำหนดความคุ้มครองเฉพาะ แบบ 2 สำหรับการประกันภัยกำไรขั้นต้น (แบบหลักเกณฑ์ผลบวก)
“คำจำกัดความ
กำไรขั้นต้น หมายความถึง ผลรวมของกำไรสุทธิกับค่าใช้จ่ายคงที่ที่
เอาประกันภัย หรือถ้าไม่มีกำไรสุทธิ ก็จะเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ที่เอา
ประกันภัย หักด้วยผลขาดทุนสุทธิทางการค้าในสัดส่วนของจำนวนค่า
ใช้จ่ายคงที่ที่เอาประกันภัยต่อค่าใช้จ่ายคงที่ทั้งสิ้นของธุรกิจ
กำไรสุทธิ หมายความถึง ผลกำไรสุทธิทางการค้า (ไม่รวมรายรับที่เป็นเงินทุนทั้งหมดและดอกผลต่าง ๆ และค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่สมควรคิดรวมเข้าเป็นเงินทุน) อันเป็นผลมาจากการประกอบธุรกิจของผู้เอาประกันภัย ณ สถานที่เอาประกันภัย หลังจากหักค่าใช้จ่ายคงที่ทั้งหมด และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ รวมทั้งค่าเสื่อมราคาออกแล้ว แต่ก่อนการหักภาษีใด ๆ ที่เรียกเก็บจากผลกำไรนั้น”
แม้นปรากฏมีข้อกำหนดชัดเจนอยู่ก็ตาม เชื่อว่า ประเด็นปัญหาค่าเสื่อมราคาควรถูกหัก หรือไม่ถูกหักนั้น?
คงยังมีการถกเถียงกันต่อไปอีกอยู่ดี
สัปดาห์หน้า ถึงเวลาไปพูดถึงเงื่อนไขพิเศษชุด DE & LEG ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยการก่อสร้าง/ติดตั้งกันเสียที
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น