เรื่องที่ 149 : การไม่เปิดเผยข้อความจริง หรือการแถลงข้อความเท็จของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์สำคัญขนาดไหน?
ตามหลักการประกันภัยสากลเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตอย่างยิ่ง (Utmost Good Faith) นั้น กล่าวว่า ถ้าผู้เอาประกันภัยปกปิดข้อความจริง หรือแถลงข้อความเป็นเท็จในสาระสำคัญ จะส่งผลทำให้สัญญาประกันภัยตกเป็นโมฆียะ
ในบ้านเรามีบัญญัติไว้เช่นเดียวกัน ภายใต้มาตรา 865 วรรคแรกแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนี้
“ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิต บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ”
โดยสรุป คือ กฎหมายกำหนดให้ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่จะต้องเปิดเผยข้อความจริง และไม่แถลงข้อความเท็จในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญให้แก่บริษัทประกันภัยได้รับทราบ ณ เวลาทำสัญญาประกันภัย มิฉะนั้นแล้ว จะส่งผลทำให้สัญญาประกันภัยฉบับนั้นตกเป็นโมฆียะ โดยที่บริษัทประกันภัยจะมีสิทธิบอกล้างสัญญาประกันภัยฉบับนั้นให้กลายเป็นโมฆะได้ภายในกำหนดเวลาของกฎหมาย เมื่อได้ทราบ
สิ่งที่เป็นสาระสำคัญนั้นจะต้องส่งผลถึงขนาดเมื่อบริษัทประกันภัยได้รับทราบแล้ว อาจปฏิเสธไม่รับประกันภัย หรือคิดค่าเบี้ยประกันภัยเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อกฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้เอาประกันภัยเสียแล้ว หน้าที่นี้คงมีอยู่ แม้นบริษัทประกันภัยจะมิได้สอบถามก็ตาม
ตามหลักการ ณ เวลาขอทำประกันภัย บริษัทประกันภัยจะมีแบบสอบถามข้อมูลที่สำคัญจากผู้เอาประกันภัย ซึ่งเรียกว่า “ใบคำขอเอาประกันภัย” เพื่อให้กรอกข้อมูลเหล่านั้นอย่างครบถ้วนและถูกต้อง พร้อมลงนามรับรองกำกับไว้ด้วย
น่าเสียดายที่ในทางปฏิบัติ บริษัทประกันภัยกลับมิได้อาศัยประโยชน์จากใบคำขอเอาประกันภัยนี้เลย ทำให้บ่อยครั้ง ผู้เอาประกันภัยไม่รู้จะต้องบอกข้อมูลอะไรให้บ้าง เนื่องจากบริษัทประกันภัยเองก็แทบมิได้สอบถามอะไรมากนัก
จึงเกิดประเด็นข้อพิพาทกันบ่อยครั้ง และส่วนใหญ่แล้ว ผู้เอาประกันภัยมักเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
สำหรับการประกันภัยรถยนต์ คุณคิดว่า ข้อมูลดังต่อไปนี้เป็นสาระสำคัญจำต้องเปิดเผยไหมครับ?
(1) การขับขี่รถเร็วเกินกฎหมายกำหนด
(2) การขับขี่รถในลักษณะหวาดเสียว อาจก่อให้เกิดอันตราย
(3) การขับขี่รถยนต์ย้อนศร
(4) การถูกปรับโทษฐานความผิดทางกฎหมายจราจร
(5) การไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์
(6) การเคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่รถยนต์
ฯลฯ
เรามาลองดูตัวอย่างคดีศึกษาเรื่องนี้เทียบเคียงกันนะครับ
เรื่องนี้เกิดขึ้น ณ ประเทศฮ่องกง เมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 2010 มีผู้เอาประกันภัยนำรถปอร์เช่คันหนึ่งไปขอทำประกันภัยรถยนต์กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง โดยที่จะต้องมีการกรอกใบคำขอเอาประกันภัยตามระเบียบปฏิบัติเสียก่อนที่บริษัทประกันภัยจะตกลงพิจารณารับประกันภัย ซึ่งก็ผ่านขั้นตอนนั้นเรียบร้อยดี และบริษัทประกันภัยแห่งนั้นก็พึงพอใจกับข้อมูลที่ได้มา จึงตกลงรับประกันภัยรถยนต์หรูคันดังกล่าวด้วยความเต็มใจ
ระหว่างระยะเวลาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยรายนี้ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปประสบอุบัติเหตุ ตีราคาค่าซ่อมเป็นเงิน 678,600 ดอลล่าร์สหรัฐ (หรือประมาณ 21 ล้านบาท) บังเอิญไม่มีข้อมูลเรื่องจำนวนเงินเอาประกันภัยด้วยว่า คือ เท่าไหร่?
ประเด็นปัญหาข้อพิพาทไม่ได้อยู่ที่ค่าซ่อมสูง แต่อยู่ที่บริษัทประกันภัยแห่งนี้ปฏิเสธความรับผิดโดยสิ้นเชิงด้วยการกล่าวอ้างว่า ผู้เอาประกันภัยรายนี้ได้ปกปิดข้อความจริงที่เป็นสาระสำคัญ และได้แถลงข้อความอันเป็นเท็จลงในใบคำขอเอาประกันภัย
เนื่องจากใบคำขอเอาประกันภัยี้จะมีคำถามให้ตอบเป็นข้อ ๆ ด้วยการมีช่องให้เลือกตอบว่า ใช่/มี (Yes) หรือไม่ใช่/ไม่มี (No) โดยเฉพาะในคำถามข้อที่ 3 ซึ่งตั้งคำถามว่า
ตัวท่านเอง หรือมีบุคคลใดซึ่งอาจใช้รถยนต์คันนี้ โดยที่ท่านรับรู้ว่า เคยถูกตัดสินให้มีความผิดดังต่อไปนี้ ในช่วงระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา กล่าวคือ การขับขี่รถเร็วเกินกำหนด การขับขี่รถโดยประมาทเลินเล่อ การขับขี่รถในลักษณะอันตราย หรือการขับขี่รถขณะเมาสุราบ้างหรือไม่?
ซึ่งผู้เอาประกันภัยนี้ได้เลือกตอบว่า ไม่มี
พร้อมทั้งได้กล่าวแถลงตอนท้ายอีกด้วยว่า
รถยนต์คันนี้จะไม่ถูกนำไปขับขี่โดยบุคคลผู้ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ หรือขาดคุณสมบัติที่จะได้รับใบอนุญาตขับขี่รถยนต์
แต่จากการตรวจสอบกลับปรากฏว่า ผู้เอาประกันภัยรายนี้ได้เคยถูกลงโทษฐานความผิดตามกฎหมายจราจร สองครั้ง ในปี ค.ศ. 2003 และ 2005 ทั้งยังต้องโทษปรับฐานขับรถเร็วอีกสามครา ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 2008 และ 2009 ด้วย
เมื่อถูกปฏิเสธความรับผิด ผู้เอาประกันภัยรายนี้จึงได้นำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อวินิจฉัย
ศาลได้วินิจฉัยคดีนี้ว่า
1) ข้อความจริงในเรื่องประวัติการกระทำความผิดของผู้เอาประกันภัยในอดีตส่วนที่เกินกว่าสามปีย้อนหลังนั้น ไม่อยู่ในความสนใจของบริษัทประกันภัย อีกทั้งไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า โทษฐานความผิดดังระบุในใบคำขอเอาประกันภัยนั้นจะหมายรวมถึงการเสียค่าปรับฐานขับรถเร็วด้วย เพราะมิได้ถือเป็นการตัดสินลงโทษ (Conviction) อันนับเป็นสาระสำคัญ และเป็นเพียงการฝ่าฝืนกฎหมาย โดยมิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตร่างกาย หรือทรัพย์สินของผู้อื่น อีกทั้ง การฝ่าฝืนกฎหมายจราจรเล็กน้อยเช่นนั้นก็ไม่ได้มีสาระสำคัญถึงขนาดส่งผลทำให้บริษัทประกันภัยจำต้องปฏิเสธไม่รับประกันภัย หรือเพิ่มค่าเบี้ยประกันภัยให้สูงขึ้นอีกด้วย
2) กรณีถ้อยแถลงนั้น หมายความใช้บังคับแก่ผู้ขาดคุณสมบัติในปัจจุบันเท่านั้น มิได้หมายความรวมไปถึงผู้เคยถูกเพิกถอนสิทธิในอดีตด้วย
3) ถึงแม้นข้อความจริงดังกล่าวจะถือเป็นสาระสำคัญ เมื่อมิได้ถาม จึงถือเสมือนไม่ได้รับความสนใจ ด้วยเหตุที่คำถามค่อนข้างจำกัด และไม่เปิดโอกาสให้สามารถเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมได้อีก
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ตัดสินให้บริษัทประกันภัยแห่งนี้มีความรับผิดตามสัญญาประกันภัย
(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Cheung Kwan Wah v China Ping An Insurance (Hong Kong) Company Limited (2012) KKDC 802)
สรุป
คดีนี้ เมื่อพิจารณาจากคุณสมบัติของรถคันที่เอาประกันภัยแล้ว เป็นรถที่ใช้ความเร็วโดยสภาพ ไม่ควรนำเอาเรื่องขับรถเร็วมาเป็นสาระสำคัญในการปฏิเสธความรับผิดเลยนะครับ
ดังนั้น การตั้งคำถามข้อมูลในใบคำขอเอาประกันภัยจึงมีความสำคัญมาก ควรต้องให้รายละเอียด และความชัดเจน เพื่อสามารถใช้ในการพิจารณารับประกันภัยได้จริง
ไม่แน่ใจว่า นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งหรือเปล่า ซึ่งทำให้บริษัทประกันภัยไม่สนใจใช้ใบคำขอเอาประกันภัย ปล่อยไว้เพื่อให้เปิดกว้างจะดีกว่า?
ส่วนตัวค่อนข้างแปลกใจว่า เคยเห็นใบคำขอเอาประกันภัยรถยนต์บ้านเราแล้ว มีให้กรอกข้อมูลเสมือนหนึ่งเพียงต้องการใช้ในการออกกรมธรรม์ประกันภัยเท่านั้น
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul