เรื่องที่ 146: จงใจทำร้ายผู้อื่น (Deliberate Act) ถือเป็นอุบัติเหตุภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก (Public Liability Insurance Policy) หรือไม่?
(ตอนที่สอง)
คดีศึกษาเรื่องนี้เกิดขึ้นในคืนวันหนึ่งของเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 ขณะที่นักเที่ยวกลางคืนรายหนึ่งมีอาการเมาเหล้าอย่างหนักจนแทบคุมสติไม่อยู่ เอะอะโวยวายจนถูกเชิญตัวออกมาจากผับ แต่ยังไม่ยอมหยุดอาละวาด ขัดขืน ท้ายที่สุดพนักงานหน้าประตูต้องเข้าไปควบคุมด้วยการจับล็อกคอ (neck hold) กดตัวให้นอนราบอยู่กับพื้นนานสามนาทีจนนักเที่ยวกลางคืนรายนี้สิ้นสติ และถูกประกาศว่า เสียชีวิตแล้วเมื่อถูกนำส่งตัวถึงโรงพยาบาล (กรณีลักษณะคล้ายคลึงกับเหตุการณ์อื้อฉาวที่ประเทศสหรัฐอเมริกาไม่นานมานี้)
พนักงานหน้าประตูผับผู้กระทำผิดถูกจับกุม และต่อมาได้ถูกศาลตัดสินลงโทษฐานความผิดทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย
ภรรยาของผู้ตายได้ฟ้องคดีแพ่งเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากการกระทำละเมิดของเจ้าของผับ และพนักงานหน้าประตูผู้กระทำผิด รวมถึงบริษัทประกันภัยซึ่งให้ความคุ้มครองกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายแก่เจ้าของผับนี้ด้วย
บริษัทประกันภัยนี้ได้ปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างอิง
(ก) ข้อยกเว้นที่ระบุไม่คุ้มครองถึงความรับผิดอันมีสาเหตุมาจากการกระทำโดยเจตนา หรือการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือ
(ข) ถ้าจะเข้าข่ายความคุ้มครองได้ ก็จะตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขพิเศษที่เรียกว่า “การจับกุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (Wrongful Arrest Clause)” ซึ่งกำหนดวงเงินความคุ้มครองย่อย (Sub Limit) ไว้อยู่ที่ 100,000 ปอนด์สเตอร์ลิงเท่านั้น
โจทก์ในฐานะภรรยาผู้ตายไม่ยอมรับ เพราะวงเงินความคุ้มครองย่อยต่ำกว่าวงเงินที่เรียกร้องค่อนข้างเยอะ จึงเป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องพิจารณาประเด็นข้อพิพาทต่อไปว่า
บริษัทประกันภัยนี้จำต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยหรือไม่? (ไม่เข้าข้อยกเว้น)
ถ้าต้องรับผิด จะรับผิดตามวงเงินที่โจทก์เรียกร้องมา หรือรับผิดตามวงเงินความคุ้มครองย่อยเท่านั้น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้บริษัทประกันภัยรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย เพราะกรณีไม่ตกอยู่ในข้อยกเว้น
เมื่อคดีนี้ได้ถูกนำขึ้นมาสู่ชั้นศาลสูงสุด (Supreme Court) โดยมีประเด็นข้อพิพาทที่ยังโต้แย้งกันอยู่ คือ
(1) การกระทำของพนักงานหน้าประตูนั้นเป็นการกระทำโดยเจตนาหรือไม่?
(2) ถ้าใช่ ก็จะตกอยู่ในข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ใช่หรือไม่?
ศาลสูงสุดได้พิจารณาถึงความหมายของข้อยกเว้นที่เขียนไม่คุ้มครองถึงการกระทำโดยเจตนา (Deliberate Acts) นั้นมีเจตนารมณ์เช่นไร?
การมีเจตนาทำร้ายควรหมายความถึง การเจตนาทำร้ายร่างกายผู้อื่นเพื่อให้บังเกิดผลความบาดเจ็บแก่ร่างกายทั่วไปมากกว่าที่จะบังเกิดผลเลยเถิดในลักษณะเช่นนี้ ซึ่งควรถือเป็นการกระทำโดยขาดความใส่ใจ หรือสะเพร่า (Recklessness)
การที่ฝ่ายบริษัทประกันภัยจำเลยอ้างว่า การกระทำโดยขาดความใส่ใจ หรือสะเพร่านั้นควรถือเป็นการกระทำโดยเจตนาด้วยนั้น ศาลสูงสุดไม่เห็นพ้องด้วย เพราะผู้กระทำผิดมิได้มีเจตนาฆ่า เพียงแค่เจตนาทำร้าย แต่พลั้งมือจนทำให้เสียชีวิตเท่านั้น
เมื่อกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ได้เขียนยกเว้นการกระทำโดยเจตนาไว้ลอย ๆ มิได้มีกำหนดระดับการมุ่งหวัง หรือการคาดหวังจำเพาะกำกับเอาไว้ด้วย จำต้องตีความข้อยกเว้นตามถ้อยคำที่เขียนอย่างเคร่งครัด
ศาลสูงสุดจึงติดสินให้กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นดังอ้างอิง บริษัทประกันภัยจำเลยจำต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทตามฟ้องให้แก่โจทก์
(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Burnett or Grant v International Insurance Company of Hanover Ltd [2021] UKSC 12)
หมายเหตุ
หลักกฎหมายต่างประเทศจำแนกลักษณะการกระทำไม่เจตนาออกเป็น 3 ลักษณะได้แก่
1) ความประมาทเลินเล่อ (Negligence)
2) การกระทำโดยขาดความใส่ใจ หรือความสะเพร่า (Recklessness) มีนักกฎหมายบางท่านแปลคำนี้ว่า “ประมาทโดยจงใจ” ก็มี
3) ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง (Gross Negligence)
เขียนตามความเข้าใจส่วนตัว คือ ความประมาทเลินเล่อทั้งสองลักษณะเป็นการใช้ความระมัดระวังแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอ ขณะที่ความสะเพร่าเสมือนทำโดยไม่ใส่ใจใช้ความระมัดระวังเลย อย่างไรก็ดี ทั้งหมดก็มิใช่การกระทำโดยเจตนา
ถึงกระนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติถึงเรื่องความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเอาไว้ในมาตรา 879 วรรคแรก ดังนี้
“ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเมื่อความวินาศภัยหรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริต หรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์”
น่าคิดว่า ถ้ามีข้อพิพาทประเด็นเรื่องการกระทำโดยขาดความใส่ใจ หรือความสะเพร่านี้ขึ้นสู่ศาลไทย ศาลท่านจะวินิจฉัยคดีแพ่งออกมาแนวทางเดียวกันหรือไม่? คงต้องรอดูกันต่อไปนะครับ
เนื่องจากประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า
"ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี"
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21379/2556
การที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไล่ทำร้ายผู้ตายกับพวกในระยะกระชั้นชิด
โดยถือไม้ถูพื้นชูออกนอกรถยนต์ เพื่อข่มขู่ผู้ตายกับพวกไปตลอดทาง โดยมีเจตนาจะทำร้ายผู้ตายกับพวก
และผลจากการกระทำดังกล่าวทำให้ผู้ตายต้องขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูง เพื่อหลบหนีการถูกไล่ทำร้าย
จนเกิดเหตุชนกับรถยนต์กระบะที่จอดอยู่ จำเลยที่ 1 และที่ 2
ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับอันตรายสาหัสและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายตาม
ป.อ. มาตรา 290
ส่วนประเด็นเงื่อนไขพิเศษการจับกุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (Wrongful Arrest Clause) มิได้ถูกหยิบยกขึ้นมาต่อสู้กันอีกจึงตกไป แต่สัปดาห์หน้าเราจะมาดูตัวอย่างคดีศึกษาประเด็นเรื่องนี้ในคดีตัวอย่างอื่นบ้างว่า เงื่อนไขพิเศษนี้ทำงานเช่นไร?
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
และที่ https://www.facebook.com/BestTrainingAdvisory
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น