เรื่องที่ 145: ความคุ้มครองระยะเวลาบำรุงรักษา (Maintenance Period Coverage) ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยการปฏิบัติงานตามสัญญา (Contract Works Insurance Policy) ควรถูกแปลความหมายเช่นไรดี?
(ตอนที่สอง)
ก่อนจะไปวิเคราะห์ถึงประเด็นการแปลความหมายาความคุ้มครองระยะเวลาบำรุงรักษา จำต้องมาทำความเข้าใจกันถึงคำถามที่สองที่ตั้งค้างไว้เสียก่อน
คำถามที่สองระยะเวลาการบำรุงรักษา หรือระยะเวลาบำรุงรักษาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
สัญญาการก่อสร้าง/การติดตั้งนั้นในแง่กฎหมายจัดเป็นสัญญาจ้างทำของ ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 บัญญัติว่า “อันว่าจ้างทำของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น”
ฉะนั้น ผู้ว่าจ้างซึ่งว่าจ้างผู้รับเหมา (ผู้รับจ้าง) ให้ทำการก่อสร้าง/การติดตั้งจึงมุ่งหวังถึงผลสำเร็จของงานที่ว่าจ้างเป็นสำคัญว่า งานนั้นจะต้องถูกดำเนินงานอย่างถูกต้องตามที่ตกลงกัน ทั้งให้เป็นไปตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน (standard workmanship) ดีอีกด้วย โดยอาจระบุอย่างชัดแจ้งลงในสัญญาว่าจ้างหรือไม่ก็ได้
พูดง่าย ๆ ก็คือ ทำให้เสร็จสมบูรณ์โดยไร้ที่ติ หรือปราศจากข้อบกพร่องนั่นเอง
เพื่อความชัดเจนในทางปฏิบัติมักจะระบุเผื่อไว้ในสัญญาว่าจ้างทั่วไปด้วยว่า หากมีข้อบกพร่อง (defects) เกิดขึ้น ก็ให้ผู้รับเหมาทำการแก้ไขข้อบกพร่องนั้นให้ถูกต้องสมบูรณ์ อันเป็นการให้ผู้รับเหมารับประกันผลสำเร็จของงานตนเอง ดังตัวอย่าง
ตัวอย่างข้อกำหนดระยะเวลาบำรุงรักษามาตรฐานในสัญญาว่าจ้างของหน่วยงานราชการ
การรับประกันความชำรุดบกพร่อง
“ผู้ชนะการประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งได้ทำข้อตกลงเป็นหนังสือ หรือทำสัญญาจ้างตามแบบดังระบุในข้อ 1.3 แล้วแต่กรณี จะต้องรับประกันความชำรุดบกพร่องของงานจ้างที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี นับถัดจากวันที่ผู้ว่าจ้างได้รับมอบงาน โดยผู้รับงานต้องรีบจัดการซ่อมแซมแก้ไขให้ใช้การได้ดีดังเดิมภายใน 7 วัน นับถัดจากวันที่ได้รับแจ้งความชำรุดบกพร่อง ซึ่งถ้าหากผู้รับจ้างไม่ดำเนินการซ่อมแซมแก้ไขให้เรียบร้อยภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ผู้ว่าจ้างมีสิทธิ์ให้ผู้อื่นดำเนินการซ่อมแซมแก้ไขแทนโดยผู้รับจ้างต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายดังกล่าวทั้งหมด”
โดยที่กฎหมายเองก็ได้พูดถึงเรื่องนี้เอาไว้ด้วยเช่นกัน ดังนี้
“มาตรา 598 ถ้าผู้ว่าจ้างยอมรับมอบการที่ทำนั้นแล้วทั้งชำรุดบกพร่อง มิได้อิดเอื้อนโดยแสดงออกชัดหรือโดยปริยาย ผู้รับจ้างก็ไม่ต้องรับผิด เว้นแต่ความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นเช่นจะไม่พึงพบได้ ในขณะเมื่อรับมอบ หรือผู้รับจ้างได้ปิดบังความนั้นเสีย
มาตรา 600 ถ้ามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาไซร้ ท่านว่าผู้รับจ้างจะต้องรับผิดเพื่อการที่ทำชำรุดบกพร่อง เพียงแต่ที่ปรากฏขึ้น ภายในปีหนึ่งนับแต่วันส่งมอบ หรือที่ปรากฏขึ้นภายในห้าปี ถ้าการที่ทำนั้นเป็นสิ่งปลูกสร้างกับพื้นดิน นอกจากเรือนโรงทำด้วยเครื่องไม้
แต่ข้อจำกัดนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ เมื่อปรากฏว่าผู้รับจ้างได้ปิดบังความชำรุดบกพร่องนั้น
มาตรา 601 ท่านห้ามมิให้ฟ้องผู้รับจ้างเมื่อพ้นปีหนึ่ง นับแต่วันการชำรุดบกพร่องได้ปรากฏขึ้น”
ความชำรุดบกพร่องเนื่องจากการก่อสร้าง/การติดตั้งนั้นอาจเกิดขึ้นได้สี่สาเหตุหลัก ได้แก่
1) การออกแบบที่ผิดพลาด (Faulty Design) หรือ
2) ปัญหาจากรายละเอียดที่กำหนด (Specification Problems) หรือ
3) วัสดุที่บกพร่อง (Defective Materials) หรือ
4) ฝีมือแรงงานที่บกพร่อง (Defective Workmanship)
สามรายการแรก ปกติจะไม่ได้รับความคุ้มครองในกรมธรรม์การปฏิบัติงานตามสัญญา เนื่องด้วยถือเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นมาก่อน ผู้รับเหมา หรือกระทั่งผู้ว่าจ้างไม่จำเป็นจะต้องรับผิด เว้นแต่ได้รับรู้มาก่อน แล้วยังฝืนทำ
ขณะที่รายการที่สี่ซึ่งอยู่ในข้อยกเว้นด้วยเช่นกัน ด้านประกันภัยมักสร้างประเด็นปัญหาข้อถกเถียงกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และคงตลอดไปด้วยว่า กรณีที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากฝีมือแรงงานที่บกพร่องหรือเปล่า?
ยิ่งในกรมธรรม์การปฏิบัติงานตามสัญญาเอง ก็มิได้มีคำนิยามกำหนดเอาไว้ด้วย แต่ถึงแม้จะมีคำนิยาม คงจำต้องมีข้อถกเถียงกันอยู่ดี
ทางออกเบื้องต้น คือ โดยอาศัยการตรวจพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพเดียวกัน หรือการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจรับงานดังที่มีอยู่ในโครงการใหญ่ ๆ
อนึ่ง ความชำรุดบกพร่องนั้นยังสามารถจำแนกออกได้เป็นสองลักษณะ กล่าวคือ
ก) ความชำรุดบกพร่องที่เห็นได้ชัดเจน (Patent Defects)
อาจตรวจพบในทันที หรือภายหลังส่งมอบงานแล้วก็ได้ และ
ข) ความชำรุดบกพร่องแฝง (Latent Defects)
พจนานุกรมศัพท์ประกันภัย พิมพ์ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2560 (แก้ไขเพิ่มเติม) ฉบับราชบัณฑิตยสภา ให้ความหมายว่า “ความชำรุดบกพร่องที่ไม่อาจเห็นได้ หรือไม่อาจรู้ได้ว่ามีความชำรุดบกพร่อง แม้จะได้ใช้ใช้ความระมัดระวังตามปรกติทั่วไป หรือการตรวจสอบโดยผู้มีวิชาชีพ แล้วแต่กรณี”
ถ้าเป็นความชำรุดบกพร่องที่สามารถพบเจอได้ทันทีในช่วงระหว่างการก่อสร้าง/การติดตั้งก็ให้แก้ไขกันไป
แต่ถ้าไปพบเจอเอาภายหลังจากการส่งมอบงานแล้ว นั่นจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขความคุ้มครองของช่วงระยะเวลาการบำรุงรักษา
อย่างไรก็ดี ความชำรุดบกพร่องที่ผู้รับเหมาจำต้องรับผิดภายใต้สัญญาว่าจ้างนั้นจำกัดอยู่เพียงสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป หรือมีส่วนร่วมรับผิดด้วยเท่านั้น หากเป็นกรณีที่เกิดขึ้นเนื่องจากบุคคลภายอื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าจ้าง ผู้จำหน่าย สถาปนิก ฯลฯ ผู้รับเหมาไม่จำต้องรับผิดแต่ประการใด
ครั้นเมื่อมีการส่งมอบงานตามสัญญาว่าจ้าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบโดยปริยาย ด้วยการที่ผู้ว่าจ้างเข้าไปครอบครอง หรือใช้งานพื้นที่ส่วนนั้น หรือการส่งมอบอย่างเป้นทางการทั้งโครงการก็ตาม ระยะเวลาการก่อสร้าง/การติดตั้งจะสิ้นสุดลง และจะเริ่มต้นระยะเวลาการบำรุงรักษาต่อเนื่องกันไปทันที
เคยมีคำถามเรื่องเงื่อนไขการส่งมอบงานเป็นส่วน ๆ แล้วจะทำให้ระยะเวลาการบำรุงรักษานับไปทีละส่วนนั้นด้วยหรือเปล่า?
สมัยก่อน ได้มีการตีความอย่างเคร่งครัดไปเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว สัญญาว่าจ้างไม่เคยกำหนด หรือมีการปฏิบัติจริงเช่นนั้น ทำให้ส่วนงานที่ถูกส่งมอบโดยปริยายเกิดช่องว่างความคุ้มครอง เพราะส่วนนั้นไม่ได้รับความคุ้มครอง ภายใต้เงื่อนไขของกรมธรรม์การปฏิบัติงานตามสัญญาอีกต่อไปแล้ว ผู้ว่าจ้างมีทางเลือกอยู่สองทาง ได้แก่
(1) นำส่วนนั้นไปจัดทำกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย หรือกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินแล้วแต่กรณี หรือ
(2) คงส่วนนั้นให้คุ้มครองต่อไป ภายใต้กรมธรรม์การปฏิบัติงานตามสัญญาดังเดิม โดยอาศัยการขยายเงื่อนไขพิเศษว่าด้วยการเข้าไปครอบครอง หรือใช้งานของผู้ว่าจ้าง (Contract Works Taken Over or Put Into Service) ก่อนจะเริ่มส่งมอบงานโดยปริยายในส่วนนั้น
นับเนื่องจากนี้จะมาถึงประเด็นการแปลความหมายของระยะการบำรุงรักษากันเสียที
ขอต่อในคราวถัดไปนะครับ
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
และที่ https://www.facebook.com/BestTrainingAdvisory