เรื่องที่ 135 : รีสอร์ทต้องรับผิดตามกฎหมายหรือไม่? กรณีผู้เช่าลงเล่นน้ำทะเล แล้วเกิดจมน้ำตายหน้ารีสอร์ทนั้น
ช่วงเวลาปลายปีนี้ มีวันหยุดเทศกาล วันหยุดพิเศษหลายวัน กอปรกับผู้คนเริ่มคลายความวิตกกังวลการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส และการส่งเสริมจากภาครัฐให้ผู้คนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ เพื่อช่วยกันกระจายรายได้ให้เงินหมุนเวียนออกไปมากขึ้น จึงรับฟังว่า ช่วงวันหยุดเทศกาล สถานท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจคึกคักเป็นพิเศษ น่าดีใจนะครับ
อย่างไรก็ดี อย่าลืมเรื่องความปลอดภัยของตนเอง และของบุคคลอื่นด้วยนะครับ เพราะความเสี่ยงภัยอาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลานาที ทุกสถานที่ ไม่อยากให้ช่วงเวลาหาความสุขอันจะพึงมี ต้องกลับกลายเป็นความทุกข์เข้ามาแทนที่
ดังเช่นคดีศึกษาเรื่องนี้ ที่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งได้เข้าไปเช่าพักผ่อน ณ รีสอร์ทริมทะเลแห่งหนึ่ง ตั้งใจว่า จะพากันลงไปเล่นน้ำทะเลให้สนุก
แต่โชคร้ายเสียเหลือเกิน ระหว่างลงเล่นน้ำทะเลหน้ารีสอร์ทนั้นอย่างสนุกสนาน ได้เกิดคลื่นลมแรง ส่งผลทำให้นักท่องเที่ยวรายหนึ่งถูกคลื่นซัดจมหายไป กว่าจะมีคนเข้ามาช่วยเหลือได้ ก็ไม่ทันการณ์แล้ว
ทางครอบครัวผู้เสียชีวิตจึงได้ยื่นฟ้องรีสอร์ทนั้น โดยกล่าวหาว่า เป็นความประมาทเลินเล่อของรีสอร์ทที่ไม่จัดให้มีป้ายเตือนภยันตราย ไม่มีพนักงานรักษาความปลอดภัยมาคอยดูแลช่วยเหลือ ทั้งยังไม่แจ้งให้ผู้พักรับทราบว่าจะมีคลื่นลมแรงอันอาจก่อให้เกิดอันตรายในการลงไปเล่นน้ำทะเลอีกด้วย จนสุดท้ายก่อให้เกิดเหตุการณ์เศร้าสลดดังกล่าวขึ้นมา รีสอร์ทมีความผิดฐานละเมิดด้วยการงดเว้นการที่พึงจะกระทำ และจำต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทของผู้สูญเสีย
คดีนี้ได้ต่อสู้กันมาตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนถึงศาลฎีกา ซึ่งวินิจฉัยออกมาว่า
การงดเว้นที่ถือเป็นการกระทำ ผู้งดเว้นจักต้องมีหน้าที่กระทำเพื่อป้องกันผลอันใดอันหนึ่งที่จะเกิดขึ้น ดังถ้อยคำในวรรคท้ายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 ที่ว่า “การกระทำ ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้นโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย”
คดีนี้ ผลคือความตายที่เกิดจากคลื่นในทะเลซัดผู้ตายจมน้ำ
หากจะฟังว่าการงดเว้นของจำเลยทั้งสามหรือฝ่ายรีสอร์ทตามที่โจทก์อ้างเป็นการกระทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ต้องได้ความว่าจำเลยทั้งสามหรือฝ่ายรีสอร์ทจักต้องมีหน้าที่ห้ามมิให้ผู้ตายลงเล่นน้ำในวันเกิดเหตุด้วย
แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยทั้งสามหรือฝ่ายรีสอร์ทไม่มีหน้าที่ห้ามผู้ตายหรือผู้ใดมิให้ลงเล่นน้ำในวันเกิดเหตุแต่อย่างใด ดังนั้นจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามทำต่อผู้ตายโดยผิดกฎหมาย อันจะเป็นละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”
จึงไม่จำต้องพิจารณาว่า การงดเว้นตามที่โจทก์อ้างเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยทั้งสามหรือไม่
(อ้างอิงและเรียบเรียงมาจากบทความกฎหมายเด่นฎีกาดัง เนติ อัยการ ศาล@thanasorn1234 และคำพิพากษาฎีกาที่ 4917/2557 สืบค้นจาก https://www.facebook.com/thanasorn1234/posts/360438041026019/
ด้วยความขอบพระคุณมา ณ ที่นี้)
สรุป
รีสอร์ทนั้นไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายจะไปดูแลลูกค้า ณ บริเวณพื้นที่สาธารณะถึงขนาดนั้น
เมื่อไม่มีหน้าที่ดังว่านั้น ถึงแม้รีสอร์ทนั้นได้จัดทำกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกเผื่อเอาไว้ก็ตาม บริษัทประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองดังกล่าวก็ไม่มีหน้าที่จะไปชดใช้แทนให้เช่นเดียวกัน
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
และที่
https://www.facebook.com/BestTrainingAdvisory