เรื่องที่ 118:
เมื่อคนกับรถและหมามาเชื่อมโยงกัน มันก็เกิดการโยนกลองกันขึ้น
“โยนกลอง” เป็นสำนวนไทย มีความหมายถึงการปัดภาระไปให้ผู้อื่น
(พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน)
แต่เรื่องนี้มีที่มาเทียบเคียงจากคดีศึกษาของต่างประเทศ
สามีภรรยาคู่หนึ่งขับรถพาเพื่อนมาเที่ยวบ้านของตนเอง
เมื่อได้นำรถเข้ามาจอดภายในบ้านเรียบร้อยแล้ว
หมาตัวน้อยที่คู่สามีภรรยานี้เลี้ยงไว้ก็เข้ามาทักทายทั้งคู่ด้วยความดีใจทันทีที่ทั้งคู่ลงมาจากรถคันนั้น
แต่ครั้นมันเหลือบไปเห็นขาข้างหนึ่งที่เพิ่งหย่อนลงสู่พื้นตรงประตูฝั่งผู้โดยสาร
และยังไม่ทันสิ้นสุดคำถามจากเพื่อนที่ว่า “มันไม่กัดนะ”
หมาน้อยตัวนั้นก็วิ่งตรงเข้าไปงับขาข้างนั้นอย่างฉับพลัน
ภายหลังจากดูแลรักษาพยาบาลเบื้องต้นและนำเพื่อนไปทำแผลพร้อมฉีดยากันพิษสุนัขบ้าเผื่อเอาไว้
ณ โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว โดยคู่สามีภรรยานี้ได้กล่าวคำขอโทษต่อเพื่อนและแจ้งว่า
เดี๋ยวจะแจ้งให้บริษัทประกันภัยมารับผิดชอบให้
ซึ่งพวกตนได้จัดทำกรมธรรม์ประกันภัยเอาไว้สองฉบับจากบริษัทประกันภัยต่างรายกัน
กล่าวคือ กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ทำไว้กับบริษัทประกันภัยเจ้าหนึ่ง
กับกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับเจ้าบ้าน
(คุ้มครองทรัพย์สินที่เอาประกันภัยบวกด้วยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก)
ไว้กับอีกเจ้าหนึ่ง
ครั้นพอบริษัทประกันภัยทั้งสองรายได้รับทราบเรื่องราวแล้ว
ต่างเกิดประเด็นโต้แย้งกันขึ้นมาทันที
กรมธรรม์ประกันภัยฉบับใดควรรับผิดชอบสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว?
1) บริษัทประกันภัยรถยนต์อ้างว่า
หมาที่บ้านของผู้เอาประกันภัยวิ่งไปกัดบุคคลภายนอกผู้เสียหายภายในบ้านหลังนั้นเอง
ดังนั้น ถือว่า เป็นความรับผิดตามกฎหมายโทษฐานละเมิดของเจ้าของบ้านทั้งยังเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงนั้นด้วยดั่งที่ได้บัญญัติเอาไว้ในมาตรา
433 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
“ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์
ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ
อันเกิดแต่สัตว์นั้น
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น”
อันส่งผลทำให้ตกอยู่ภายใต้ข้อกำหนดและเงื่อนไขความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับเจ้าบ้าน
2) บริษัทประกันภัยสำหรับเจ้าบ้านได้โต้แย้งว่า
ขณะเกิดเหตุดังกล่าว
บุคคลภายนอกผู้เสียหายยังอยู่ในสถานะเป็นผู้โดยสารของรถยนต์คันนั้น
เพราะอยู่ระหว่างขณะกำลังลงจากรถ แค่เท้าข้างหนึ่งเหยียบพื้นเท่านั้น
ตัวของผู้เสียหายส่วนใหญ่ยังอยู่ภายในรถและสัมผัสตัวรถอยู่
โดยยังมิได้ลงมาและออกจากรถโดยสมบูรณ์เลย
จึงตกอยู่ภายใต้ความคุ้มครองในหมวดการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ซึ่งระบุว่า
“ข้อ 1. ข้อตกลงคุ้มครอง
บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความสูญเสีย
หรือความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่บุคคลภายนอก ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย
เนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากรถยนต์ที่ใช้ หรืออยู่ในทาง หรือสิ่งที่บรรทุก หรือติดตั้งในรถยนต์นั้น
ในระหว่างระยะเวลาประกันภัย ในนามผู้เอาประกันภัย ดังนี้
1.1 ความเสียหายต่อชีวิต
ร่างกาย หรืออนามัย บริษัทจะรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายต่อชีวิต
ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก ตามความเสียหายที่แท้จริงที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกนั้น
………………………………………………
บุคคลภายนอกที่ได้รับความคุ้มครองตาม 1.1 นี้
ไม่รวมถึงผู้ขับขี่ที่เป็นฝ่ายที่จะต้องรับผิดตามกฎหมาย ตลอดจนลูกจ้างในทางการที่จ้าง
คู่สมรส บิดา มารดา บุตรของผู้ขับขี่นั้น”
อนึ่ง นอกจากนี้
กรมธรรม์ประกันภัยสำหรับเจ้าบ้านยังได้มีข้อยกเว้นระบุเอาไว้ด้วยอีกว่า
“การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครอง
1. การเสียชีวิต ทุพพลภาพถาวร หรือความบาดเจ็บของสมาชิกในครอบครัว หรือลูกจ้างของผู้เอาประกันภัย
2.
………………………………
3. ความบาดเจ็บทางร่างกายหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยตรงหรือโดยอ้อมจาก
ก. ………………………………
ข. ………………………………
ค. ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์
อากาศยาน หรือยานพาหนะ”
ฉะนั้น บริษัทประกันภัยรถยนต์จำต้องรับผิดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว
คุณมีความเห็นเช่นใดบ้างครับ?
ท้ายที่สุดเรื่องนี้ได้ถูกนำขึ้นเป็นคดีสู่ศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นได้พิจารณาจากพยานหลักฐานของคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้ว
มีความเห็นพ้องกับฝ่ายบริษัทประกันภัยสำหรับเจ้าบ้านว่า ณ
เวลาที่ถูกหมาน้อยนั้นกัด
บุคคลภายนอกผู้เสียหายยังคงมีสถานะเป็นผู้โดยสารของรถยนต์คันนั้นอยู่ตราบเท่าที่ยังมิได้พาตัวเคลื่อนออกจากตัวรถยนต์คันนั้นโดยสมบูรณ์
ถือได้ว่า เป็นอุบัติเหตุอันเกิดจากรถยนต์ที่ใช้ หรืออยู่ในทาง
อันผู้ขับขี่ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกนั้น
จึงตัดสินให้ฝ่ายบริษัทประกันภัยรถยนต์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความบาดเจ็บทางร่างกาย
หรืออนามัยของบุคคลภายนอกนั้นเอง
ฝ่ายบริษัทประกันภัยรถยนต์ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วยเหตุผลดังนี้
(1) ตัวรถยนต์คันที่เกิดเหตุมิได้ก่อให้เกิดความบาดเจ็บทางร่างกายโดยตรงแก่บุคคลภายนอกผู้เสียหายนั้น
เพียงมีส่วนร่วมแค่เป็นจุดที่เกิดเหตุเท่านั้น จึงยังไม่ถือว่า มีสาเหตุเนื่องจากการใช้รถ
หรือใช้ทางตามวัตถุประสงค์ของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
อันจะส่งผลทำให้ผู้ขับขี่ต้องรับผิดตามกฎหมายแต่ประการใด
(2) เช่นเดียวกันก็มิได้ตกอยู่ภายใต้ข้อยกเว้นข้อที่ 3. ค. ของกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับเจ้าบ้านด้วย เพราะความบาดเจ็บทางร่างกายของบุคคลภายนอกผู้เสียหายนั้นมิได้เกิดขึ้นมาจากยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์
(3) สัตว์เลี้ยงของผู้เอาประกันภัยต่างหากที่ก่อให้เกิดความบาดเจ็บทางร่างกายโดยตรงแก่บุคคลภายนอกผู้เสียหายนั้น
อันเกิดขึ้นเนื่องจากเจ้าของสัตว์นั้นเองมิได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรในการเลี้ยงดูแลรักษา
และมีคำสั่งย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นกลับไปพิจารณาเรื่องการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกผู้เสียหายนั้นภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยสำหรับเจ้าบ้าน
(อ้างอิงและเรียบเรียงมาจากคดี Century Mutual Insurance v. League
General Insurance (Mich. Ct. App. 1995))
หากเกิดคดีลักษณะนี้ที่บ้านเรา ผลของคดีน่าจะออกมาไม่แตกต่างกันนะครับ
ส่วนเรื่องต่อไปจะเกี่ยวกับอะไร?
โปรดรอติดตามครับ
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย
(อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ
vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน
พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/