เรื่องที่ 90:คดีศึกษาระหว่างคำว่า
“การใช้รถ
(Use)” และ “การขับขี่ (Operation)” ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
(ตอนที่สอง)
จากอดีตจวบจนปัจจุบัน
ในประเทศสหรัฐอเมริกามีข้อพิพาทหลายคดีเกิดขึ้นระหว่างคำว่า “การใช้รถ (Use)” กับคำว่า “การขับขี่
(Operation)”
ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
เราลองมาดูตัวอย่างคดีล่าสุดนี้กันนะครับ
ลูกจ้างของธุรกิจแห่งหนึ่งมีภูมิลำเนาอยู่เมืองเทนเนสซี
นายจ้างอนุญาตให้ใช้รถของบริษัทได้เฉพาะเวลาทำงานเท่านั้น ต่อมา
ลูกจ้างรายนี้ถูกมอบหมายให้ขับรถยนต์ของบริษัทไปปฏิบัติยังต่างเมือง โดยปกติ
เวลาไปทำงานต่างเมือง นายจ้างจะมิได้มีข้อห้ามหรือข้อจำกัดในการใช้รถมากนัก
นอกจากระเบียบห้ามทานหรือมีเหล้าระหว่างอยู่ที่ทำงาน หรือระหว่างปฏิบัติงานนอกสถานที่
และระหว่างใช้อุปกรณ์เครื่องมือและรถยนต์ของบริษัทด้วย ลูกจ้างทุกรายที่ไปทำงานนอกสถานที่สามารถใช้รถไปไหนมาก็ได้นอกเวลาทำงาน
บริษัทก็มิได้กวดขันอะไรช่วงเวลาที่ผ่านมา
เช้าตรู่ในวันที่เกิดเหตุ
ลูกจ้างรายนี้ได้พบปะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน ณ โรงแรมที่พัก และได้ทานเหล้าจนเมา
เพื่อนต้องหิ้วปีกกลับไปนอนที่ห้องพัก โดยได้มีโอกาสงีบหลับไปไม่กี่ชั่วโมง
ก็จำต้องตื่นขึ้นมาขับรถออกไปข้างนอก
และได้ขับไปชนท้ายรถยนต์คันอื่นที่จอดติดไฟแดงอยู่จนคู่กรณีได้รับบาดเจ็บสาหัส ผลการตรวจวัดปริมาณของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า
ลูกจ้างรายนี้มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสองเท่าจากปริมาณที่กฎหมายกำหนด
จึงถูกแจ้งข้อหาเมาแล้วขับจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ
ผู้บาดเจ็บได้ยื่นฟ้องเรียกร้องให้ทั้งบริษัทนายจ้างกับบริษัทประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองรถยนต์คันดังกล่าวรับผิดชอบ
เนื่องจากลูกจ้างรายนี้ถูกไล่ออกและไม่มีเงินพอที่จะชดใช้ค่าเสียหาย
ผลการพิจารณาของศาลชั้นต้น
เห็นพ้องกับฝ่ายนายจ้างกับบริษัทประกันภัยที่โต้แย้งว่า ลูกจ้างที่ก่อเหตุได้ขับรถขณะมึนเมา
อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบของนายจ้าง จึงไม่ถือเป็นผู้ที่ขับขี่รถอันได้รับความเห็นชอบจากผู้เอาประกันภัยตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว
และตัดสินให้ฝ่ายผู้เสียหายแพ้คดี
ถึงชั้นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ก็มีความเห็นยืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
ในชั้นฎีกา ศาลฎีกาได้วิเคราะห์ถ้อยคำที่เขียนอยู่ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ซึ่งถอดความออกมาได้ใจความว่า
“คุ้มครองถึงบุคคลอื่นใดขณะกำลังใช้ (using) รถยนต์คันที่เอาประกันภัยโดยได้รับความเห็นชอบจากผู้เอาประกันภัย” โดยที่มิได้มีการกำหนดคำนิยามของ “ใช้รถ (use)” เอาไว้ด้วย ศาลจำต้องตีความตามความหมายทั่วไปของคำว่า “ใช้รถ (use)” นั้น ซึ่งหมายความถึง “การใช้ประโยชน์จากรถให้เป็นไปตามตามจุดประสงค์หรือตามความตั้งใจของผู้ใช้จนจบกระบวนการ”
ส่วนคำว่า “ขับขี่ (operation)” หมายความถึง
“การนำพาหรือการควบคุมยานพาหนะให้เคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งตามจุดมุ่งหมาย”
แม้ลูกจ้างรายนี้ยอมรับว่าได้ฝ่าฝืนระเบียบของบริษัทก็ตาม
แต่ศาลฎีกาตีความว่า ข้อห้ามดังกล่าวเป็นกรณีห้ามขับขี่ (operation) มิได้ห้ามใช้ (use)
แต่ประการใด ทั้งไม่มีถ้อยคำในระเบียบดังกล่าวเขียนไว้อย่างชัดแจ้งว่า
ผลการฝ่าฝืนจะทำให้สิทธิการใช้รถต้องถูกเพิกถอนไป จึงกลับคำตัดสินให้ฝ่ายบริษัทประกันภัยรับผิดแก่ผู้เสียหายตามกรมธรรม์ประกันภัย
(อ้างอิงจากคดี Ricky Griffitts v. Old Republic
Insurance Company, BNSF Railway Company, and
James
M.
Campbell, No.
SC96740,
550 S.W.3d 474 (2018))
อย่างไรก็ดี บางคดี
ศาลอาจตีความแคบว่า การฝ่าฝืนระเบียบข้อห้ามของบริษัทถือเป็นการเพิกถอนสิทธิการใช้รถได้เหมือนกัน
(State Farm v. Logan, 444
F.Supp.2d 622 (D.S.C. 2006))
นี่เป็นตัวอย่างคดีที่เกิดขึ้นกับถ้อยคำที่เขียนไม่ชัดเจนในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์บ้านเขา
แต่เท่าที่ค้นคว้าดู
มีหลายประเทศเหมือนกันนอกเหนือจากของบ้านเราที่เขียนโดยใช้ทั้งสองคำต่างกัน แม้คู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ของเรามิได้อธิบายถึงเหตุผลการใช้คำต่างกันดังกล่าว
ก็น่าเชื่อว่า เพื่อประสงค์จำกัดความคุ้มครองให้ลดน้อยลง เพราะคำว่า “ขับขี่”
นั้นให้ความหมายแคบกว่าคำว่า “ใช้” มากนัก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น