เรื่องที่ 90:คดีศึกษาระหว่างคำว่า
“การใช้รถ
(Use)” และ “การขับขี่ (Operation)” ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
(ตอนที่สาม)
บทสรุปในเรื่องนี้
ในความเป็นจริงทางปฏิบัติ
สิ่งเหล่านี้อาจเกิดได้
ก)
ผู้เอาประกันภัยอาจเป็นทั้งผู้ใช้รถยนต์กับผู้ขับขี่รถยนต์คันที่เอาประกันภัย (ผู้มีสิทธิใช้กับผู้มีสิทธิขับขี่เป็นบุคคลคนเดียวกัน)
ยกตัวอย่างเช่น เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์คันที่เอาประกันภัย
หรือผู้มีสิทธิครอบครองรถยนต์คันที่เอาประกันภัย ได้แก่ ผู้เช่าซื้อรถยนต์
ข)
ผู้เอาประกันภัยอาจยินยอมให้บุคคลอื่นเป็นทั้งผู้ใช้รถยนต์กับผู้ขับขี่รถยนต์คันที่เอาประกันภัยโดยมิได้มีเงื่อนไขหรือข้อจำกัดใดทั้งสิ้น
(ผู้มีสิทธิใช้กับผู้มีสิทธิขับขี่เป็นบุคคลคนเดียวกัน)
ยกตัวอย่างเช่น พ่อซื้อรถยนต์คันที่เอาประกันภัยมาให้ลูกใช้และขับขี่
ลูกจะขับไปเรียน ไปทำงาน ไปเที่ยว ไปกินดื่มจนเมาสุราก็แล้วแต่
ค)
ผู้เอาประกันภัยอาจยินยอมให้บุคคลอื่นเป็นทั้งผู้ใช้รถยนต์กับผู้ขับขี่รถยนต์คันที่เอาประกันภัย
แต่มีเงื่อนไขหรือข้อจำกัดกำหนดไว้ (ผู้มีสิทธิใช้กับผู้มีสิทธิขับขี่เป็นบุคคลคนเดียวกัน)
ยกตัวอย่างเช่น ผู้ให้เช่ารถยนต์ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์คันที่เอาประกันภัยอนุญาตให้ผู้เช่ารถยนต์คันนั้นใช้และขับขี่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
โดยสัญญาเช่ารถยนต์ระบุห้ามมิให้นำไปให้บุคคลอื่นขับขี่แทน
ฆ)
ผู้เอาประกันภัยอาจยินยอมให้บุคคลอื่นเป็นผู้ใช้รถยนต์
แต่ห้ามมิให้ขับขี่รถยนต์คันที่เอาประกันภัยเอง ต้องให้บุคคลอื่นอีกรายซึ่งผู้เอาประกันภัยเห็นชอบเป็นผู้ขับขี่รถยนต์คันนั้นแทน
(ผู้มีสิทธิใช้กับผู้มีสิทธิขับขี่เป็นบุคคลคนละคน)
ยกตัวอย่างเช่น ปู่เป็นเจ้าของรถยนต์คันที่เอาประกันภัยอนุญาตให้หลานของตนเองนำรถยนต์คันนั้นไปใช้ได้
โดยมีเงื่อนไขว่าต้องให้เพื่อนที่ระบุชื่อของหลานเป็นผู้ขับขี่แทนเท่านั้น (ดังคดี
Farm Bureau Mut. Ins. Co. v. Broadie,
558 S.W.2d 751 (Mo. App. 1977))
ง) บุคคลอื่นซึ่งปราศจากความยินยอมของผู้เอาประกันภัยนำรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไปใช้และขับขี่เอง
(ผู้ไม่มีสิทธิใช้กับผู้ไม่มีสิทธิขับขี่เป็นบุคคลคนเดียวกัน)
ยกตัวอย่างเช่น ลูกจ้างแอบนำรถยนต์คันที่เอาประกันภัยของนายจ้างไปใช้และขับขี่โดยปราศจากความยินยอมของนายจ้างผู้เอาประกันภัย
จ) บุคคลอื่นซึ่งปราศจากความยินยอมของผู้เอาประกันภัยนำรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไปใช้
แต่ให้บุคคลอื่นอีกรายขับขี่โดยปราศจากความยินยอมของผู้เอาประกันภัยด้วยเช่นกัน (ผู้ไม่มีสิทธิใช้กับผู้ไม่มีสิทธิขับขี่เป็นบุคคลคนละคน)
ยกตัวอย่างเช่น ลูกจ้างแอบนำรถยนต์คันที่เอาประกันภัยของนายจ้างไปใช้
แต่ให้เพื่อนของตนเป็นผู้ขับขี่โดยปราศจากความยินยอมของนายจ้างผู้เอาประกันภัยทั้งสองคน
หากเรามาดูต่อเทียบเคียงกับหมวดการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
ภาคสมัครใจฉบับมาตรฐานบ้านเรา
ซึ่งนอกจากจะระบุให้ความคุ้มครองความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก
ซึ่งผู้เอาประกันภัยจำต้องรับผิดตามกฎหมาย
เนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากรถยนต์ที่ใช้ หรืออยู่ในทาง
หรือสิ่งที่บรรทุกหรือติดตั้งในรถยนต์นั้น
รวมถึงความรับผิดตามกฎหมายของบุคคลอื่นซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยดังที่ระบุในข้อ
1. กับข้อ 4. แล้ว
ในข้อ 7. การยกเว้นทั่วไป
ซึ่งระบุไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจาก
“7.1 ………………………………….
7.6 การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดเกินกว่า
50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวงฉบับที่ 16 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 กำหนดให้ถือว่าเมาสุรา”
ทั้งในข้อ 8. ข้อสัญญาพิเศษที่ระบุในย่อหน้าสองและย่อหน้าสามว่า
“ส่วนเงื่อนไข
7.6
บริษัทจะไม่นำมาเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอก เพื่อปฏิเสธความ รับผิดทั้งตาม 1.1 (ความเสียหายต่อชีวิต
ร่างกายหรืออนามัยของบุคคลภายนอก) และ 1.2 (ความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก)
ในหมวดนี้
ในกรณีที่บริษัทไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย
หรือรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยนี้ต่อผู้เอาประกันภัย
แต่บริษัทได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้วตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
ในความรับผิดที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกไปแล้ว
ผู้เอาประกันภัยต้องใช้จำนวนเงินที่บริษัทได้จ่ายไปนั้นคืนให้บริษัทภายใน 7 วัน
นับแต่ได้รับหนังสือเรียกร้องจากบริษัท”
ในการตีความถ้อยคำย่อหน้าสองข้างต้น
อาจเกิดประเด็นขึ้นมาได้ว่า
บริษัทประกันภัยไม่สามารถนำข้อยกเว้นเรื่องเมาสุราดังกล่าวไปอ้างปฏิเสธความรับผิดต่อบุคคลภายนอกได้
ในกรณีใดดังต่อไปนี้ได้บ้าง?
ก) กรณีผู้เอาประกันภัยเมาสุราขณะเป็นผู้มีสิทธิใช้รถกับผู้มีสิทธิขับขี่รถยนต์คันที่เอาประกันภัยเอง
(ผู้ใช้มีสิทธิ ผู้ขับขี่มีสิทธิ)
ข) กรณีผู้ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยโดยมิได้มีเงื่อนไขหรือข้อจำกัดใดทั้งสิ้น
เมาสุราขณะเป็นผู้มีสิทธิใช้รถกับผู้มีสิทธิขับขี่รถยนต์คันที่เอาประกันภัย (ผู้ใช้มีสิทธิ ผู้ขับขี่มีสิทธิ)
ค) กรณีผู้ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยโดยมีเงื่อนไขห้ามมิให้นำไปให้บุคคลอื่นขับขี่แทน
ได้ฝ่าฝืนให้บุคคลอื่นผู้ไม่มีสิทธิขับขี่ในขณะที่บุคคลนั้นเมาสุรา (ผู้ใช้มีสิทธิ ผู้ขับขี่ไม่มีสิทธิ)
ฆ) กรณีผู้ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยโดยมีเงื่อนไขห้ามมิให้ขับขี่เอง
ต้องให้เฉพาะบุคคลอื่นดังที่กำหนดไว้เป็นผู้มีสิทธิขับขี่แทน
กลับฝ่าฝืนเป็นผู้ขับขี่เสียเองโดยไม่มีสิทธิขณะที่ตนเองกำลังเมาสุรา (ผู้ใช้มีสิทธิ ผู้ขับขี่ไม่มีสิทธิ)
ง) กรณีบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้ไม่มีสิทธิใช้กับผู้ไม่มีสิทธิขับขี่นำรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไปใช้และขับขี่เองขณะเมาสุรา (ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ ผู้ขับขี่ไม่มีสิทธิ)
จ) บุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้ไม่มีสิทธิใช้กับผู้ไม่มีสิทธิขับขี่นำรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไปใช้
แต่ให้บุคคลอื่นอีกรายผู้ไม่มีสิทธิขับขี่ในขณะที่บุคคลนั้นเมาสุรา (ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ ผู้ขับขี่ไม่มีสิทธิ)
คุณจะเลือกข้อไหนเป็นคำตอบที่ถูกต้องสำหรับคำถามข้างบนบ้างครับ?
ส่วนตัวผมขอตีความว่า ข้อ
ก) ข) ค) กับ ฆ) น่าจะไม่สามารถใช้อ้างกับบุคคลภายนอกที่เสียหายได้ แต่สำหรับข้อ
ค) กับ ฆ) อาจยังมีข้อโต้แย้งได้อยู่บ้าง ถ้าการฝ่าฝืนดังกล่าวมีบทลงโทษอย่างเข้มงวดชัดเจน
ถึงขนาดเพิกถอนสิทธิการใช้รถยนต์คันที่เอาประกันภัยคันนั้นเลย
ก็น่าจะหยิบยกปฎิเสธบุคคลภายนอกได้ เพราะถือเป็นการขับขี่โดยไม่มีสิทธิใช้รถด้วย
ดังกรณีสัญญาเช่ารถที่ห้ามมิให้ผู้เช่านำรถยนต์คันที่เช่าไปให้บุคคลอื่นขับขี่
ซึ่งกำหนดโทษฝ่าฝืนถึงขนาดเป็นอันเลิกสัญญาเช่า
หรือลูกจ้างนำรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไปขับขี่ขณะเมาสุรา
ฝ่าฝืนระเบียบของนายจ้างซึ่งกำหนดบทลงโทษอย่างชัดแจ้งให้เพิกถอนการใช้รถไปเลย
และนายจ้างได้เข้มงวดเอาจริงกับกรณีนี้ โดยไม่มีการผ่อนปรนใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าผู้ให้เช่า
หรือนายจ้างมิได้เคร่งครัดเอาจริง และปล่อยละเลยกับข้อกำหนดหรือระเบียบเรื่องนี้แล้ว
เชื่อว่า ทั้งผู้ให้เช่า และนายจ้างคงไม่อาจใช้ปฏิเสธความรับผิดของตนเองได้
ส่วนข้อ ง) กับ จ)
เนื่องจากถึงขนาดเป็นผู้ไม่มีสิทธิใช้รถยนต์คันที่เอาประกันภัยเลย
ถ้าจะให้บริษัทประกันภัยไปรับผิดชอบแทน ก็ออกจะดูไม่เป็นธรรมนัก
ข้อสรุปเรื่องนี้ คือ
การใช้รถนั้นใหญ่กว่าการขับขี่รถ
เพราะการขับขี่รถเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้รถนั่นเอง
อย่างไรก็ดี โปรดลองเทียบเคียงกับแนวคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นข้อมูลเสริมด้วยครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8789/2559
การที่จำเลยที่ 1
ขับรถชนรถคันอื่นจนทำให้เกิดความเสียหายแก่รถอื่นถึง 3 คัน
ย่อมเป็นผลโดยตรงอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ซึ่งขับรถด้วยความเร็วสูงในขณะเมาสุรา
เมื่อตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ท้ายตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ข้อ 7
ระบุว่า การประกันภัยไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจาก 7.6
การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่ มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดไม่น้อยกว่า 150
มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ (ปัจจุบัน แก้ไขลดเหลือเพียงเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้น) ข้อ 8 วรรคสอง ระบุว่าเงื่อนไขตาม 7.6
บริษัทจะไม่นำมาเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกเพื่อปฏิเสธความรับผิด
เมื่อโจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกไปแล้วตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย
ข้อ 8 วรรคสาม โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาคืนจากผู้เอาประกันภัยได้
ตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัย
ผู้เอาประกันภัยที่จะถูกเรียกค่าสินไหมทดแทนคืนจากบริษัทผู้รับประกันภัยนั้น
หมายถึง ผู้เอาประกันภัยที่เป็นผู้ทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก
แต่ขณะเกิดเหตุคดีนี้จำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยมิใช่เป็นผู้ทำละเมิด
โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกคืนค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 แม้จำเลยที่ 2
มิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นต่อสู้
แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4044/2548
จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานสวนป่าไม่มีหน้าที่ขับรถหรืออำนาจสั่งใช้รถได้โดยลำพัง
ทั้งไม่ปรากฏว่าในวันเกิดเหตุผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ได้มอบหมายหรืออนุญาตให้จำเลยที่
1 ใช้รถ จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธินำรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุของจำเลยที่
2 ออกไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้างานสวนป่าซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา
การที่ ป. ชาวบ้านที่เป็นสมาชิกหมู่บ้านป่าไม้ ซึ่งมิใช่คนงานหรือลูกจ้างของจำเลยที่
2 มาขอความช่วยเหลือจากจำเลยที่ 1 เนื่องจากมีอาการท้องร่วงให้นำตัวส่งโรงพยาบาล
จำเลยที่ 1 จึงขับรถยนต์บรรทุกซึ่งเป็นรถที่ใช้ในกิจการของจำเลยที่
2 ไปส่ง ป. โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา แล้วไปเกิดเหตุชนกับรถบรรทุกคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย
เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 กระทำไปโดยความเอื้อเฟื้อส่วนตัวของจำเลยที่
1 เอง และกระทำไปโดยพลการ นอกเหนือขอบเขตกิจการงานของจำเลยที่
2 หาใช่เป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ไม่ จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดในผลละเมิดที่จำเลยที่ 1
ก่อขึ้นแก่โจทก์ เมื่อจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดแล้ว
จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัย จึงไม่ต้องรับผิดเช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1955/2542
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันเกิดเหตุ โดยได้รับความยินยอมจาก ส.
เจ้าหน้าที่วิทยาลัยการปกครอง ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 แม้จำเลยที่
2 จะมีระเบียบว่าด้วยการใช้รถยนต์เป็นประการใดก็ตาม
ก็ไม่อาจนำมาใช้ยันโจทก์ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดนั้นด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 427 เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัย
ได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยที่จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดแล้ว
จึงรับช่วงสิทธิ มาเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดได้
บทความเรื่องต่อไป
ยังตัดสินใจไม่ถูกจะเลือกเรื่องใดมาเขียนดี กรุณาอดใจลองอ่านดูสัปดาห์หน้าก็แล้วกันครับ