วันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 2003
ได้เกิดเหตุไฟฟ้าดับทั่วเมืองหนึ่งในประเทศแคนาดาเป็นเวลานานร่วม 27 ชั่วโมง ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากแก่โรงงานผลิตแตงกวาดองซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลผลิตสูงสุด
เนื่องจากปราศจากกระแสไฟฟ้าป้อนเข้าสู่เครื่องจักร และระบบห้องเย็น ส่งผลทำให้สต็อกวัตถุดิบ และสต็อกสินค้าได้รับความเสียหายทั้งหมด ถึงแม้ต่อมาจะได้มีกระแสไฟฟ้ากลับมาป้อนให้แล้ว
แต่กว่าจะมีแรงดันเท่าเดิม ก็จำต้องรอต่ออีกหลายวันกว่าจะเข้าสู่สภาพปกติ
ทำให้เครื่องจักรและอุปกรณ์บางตัวเกิดความชำรุดเสียหายต่อเนื่องซ้ำเติมไปอีก
ช่วงเวลาที่เกิดความเสียหายนานสี่ถึงห้าวัน โรงงานนี้ต้องหยุดประกอบการชั่วคราวอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
โชคดีที่โรงงานแห่งนี้ได้จัดทำประกันภัยคุ้มครองทรัพย์สินแบบสรรพภัย
ซึ่งคุ้มครองอุบัติภัยต่าง ๆ ที่มิได้อยู่ในข้อยกเว้น
และประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักไว้
จึงได้ทำการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยของตนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นครั้งนี้
โชคร้ายที่บริษัทประกันภัยนั้นกลับปฏิเสธความรับผิด
โดยอ้างว่า
เหตุแห่งความเสียหายนี้ตกอยู่ในข้อยกเว้นว่าด้วยสาเหตุที่ไม่คุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยสองข้อที่ระบุว่า
ไม่คุ้มครองความเสียหายอันมีสาเหตุโดยตรง
หรือโดยอ้อมมาจาก
(ก) การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ (Changes in Temperature) และ
(ข) การชำรุดเสียหาย หรือการขัดข้องของระบบกลไก หรือระบบไฟฟ้า (Mechanical or Electrical Breakdown or Derangement)
เมื่อผู้เอาประกันภัยนำคดีขึ้นสู่ศาลชั้นต้น
ศาลพิจารณาว่า เหตุแห่งความเสียหายนี้ไม่เข้าข้อยกเว้นทั้งสองข้อดังที่จำเลยบริษัทประกันภัยกล่าวอ้าง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อยกเว้นทั้งสองข้อ ดังนี้
(ก) การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ
เนื่องจากภายใต้ข้อยกเว้นนี้
ยังมีย่อหน้าถัดมาเป็นถ้อยคำยกเว้นซ้อนยกเว้นที่มีใจความว่า
ข้อยกเว้นนี้จะไม่มีผลใช้บังคับ หากว่าความเสียหายนั้นมีสาเหตุโดยตรงมาจากภัยที่คุ้มครอง
และมิได้ระบุยกเว้นไว้เป็นอย่างอื่นใดในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า สาเหตุโดยตรงของความเสียหายนี้ คือ
ไฟฟ้าดับ (Blackout) ซึ่งถือเป็นภัยที่ได้รับความคุ้มครอง
และมิได้ถูกยกเว้นเอาไว้เป็นอย่างอื่นในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เลย
(ข) การชำรุดเสียหาย หรือการขัดข้องของระบบกลไก หรือระบบไฟฟ้า
ศาลอุทธรณ์ตีความว่า
เหตุแห่งความเสียหายนี้มิได้เข้าข้อยกเว้นนี้ เพราะคำว่า “การชำรุดเสียหาย (Breakdown)” หมายความถึง
กรณีที่เกิดขึ้นเนื่องจากความบกพร่องภายในของระบบกลไก หรือระบบไฟฟ้าจากชิ้นส่วนของเครื่องจักร
หรืออุปกรณ์นั้นเองเท่านั้น
มิได้หมายความถึงจากปัจจัยภายนอกดังเช่นกรณีจากไฟฟ้าดับนี้
จำเลยฎีกาต่อสู้เฉพาะประเด็นข้อยกเว้นข้อ
(ข) เท่านั้น โดยยกความหมายจากพจนานุกรมว่า “การชำรุดเสียหาย (Breakdown)” หมายความถึง
การหยุดทำงานทันทีทันใด หรือการเกิดไม่ทำงานโดยฉับพลัน
เมื่อห้องเย็นเกิดหยุดทำงานโดยฉับพลันระหว่างช่วงไฟฟ้าดับ ถือได้เกิดการชำรุดเสียหาย หรือการขัดข้องของระบบกลไก
หรือระบบไฟฟ้าขึ้นมาแล้ว ความเสียหายต่อสต็อกวัตถุดิบ สต็อกสินค้า
และเครื่องจักรกับอุปกรณ์จึงเป็นผลมาจากสาเหตุที่ยกเว้นนี้
ศาลฎีกาไม่เห็นพ้อง
ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1) เมื่อพิจารณาจากตัวอย่างประกอบการใช้คำของพจนานุกรมที่จำเลยอ้างอิงได้เขียนว่า
รถเสียใช้การไม่ได้ หรือผู้ขับขี่เกิดรถเสียขณะกำลังขับขี่ จะเห็นได้ว่า
ทั้งสองตัวอย่างนั้นแสดงให้เห็นถึงการหยุดทำงานที่มีสาเหตุมาจากปัจจัยภายในของรถเอง
2) ความหมายจากพจนานุกรมดูไม่สอดคล้องกับความเข้าใจของคนทั่วไปนัก
โดยศาลขอยกตัวอย่างประกอบให้เห็นภาพ ถ้าทีวีหยุดไม่ทำงานระหว่างไฟฟ้าดับ
แล้วสามารถกลับมาทำงานดังเดิมได้เมื่อไฟฟ้าติดแล้ว จะบอกได้ไหม?
ทีวีนั้นได้เกิดชำรุดเสียหายขึ้นมาแล้ว ถ้าคำตอบ คือ ใช่ ศาลฎีกามองว่า
ไม่สมเหตุผลในการใช้คำนี้ โดยทั่วไป
การชำรุดเสียหายหมายความถึงการเกิดความเสียหายต่อชิ้นส่วนของอุปกรณ์เครื่องจักรนั้นจนไม่อาจใช้งานได้ต่อไปโดยสิ้นเชิง
อุปกรณ์เครื่องจักรนั้นคงไม่ถึงขนาด “ชำรุดเสียหาย (break)”
เพียงเพราะขาดกระแสไฟฟ้า แต่แค่หยุดทำงานเนื่องจากไม่มีแหล่งพลังงานมาป้อนเท่านั้นเอง
3) แนวคำพิพากษาของศาลในหลายคดีก่อนหน้าได้วางแนวไว้แล้วว่า
การชำรุดเสียหายหมายความถึง การเกิดปัญหาจากภายใน
หรือจากความบกพร่องภายในอุปกรณ์เครื่องจักรนั้นเอง
4) เช่นเดียวกับคำว่า “การขัดข้อง
(Derangement)” พจนานุกรมให้ความหมายถึง
การรบกวนต่อสภาวะปกติ การดำเนินการตามปกติ หรือการทำงานตามปกติ
ซึ่งแนวทางคำพิพากษาที่ผ่านมา ต่างตีความในลักษณะเดียวกันกับการชำรุดเสียหาย
ศาลฎีกาจึงตัดสินว่า
ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้เอาประกันภัยรายนี้มิได้มีสาเหตุโดยตรง หรือโดยอ้อมมาจากการชำรุดเสียหาย หรือการขัดข้องของระบบกลไก
หรือระบบไฟฟ้าดังที่ยกเว้นเอาไว้ แต่มีสาเหตุมาจากไฟฟ้าดับ
ซึ่งเป็นอุบัติภัยที่มิได้ถูกระบุยกเว้น บริษัทประกันภัยจำต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ให้แก่โจทก์ผู้เอาประกันภัย
(อ้างอิงจากคดี Caneast Foods Ltd. v. Lombard
General Insurance Co. of Canada, [2007] O.J. No. 2556 aff‟d [2008] O.J. No.)
เทียบเคียงกับกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินฉบับมาตรฐานบ้านเราตรงหมวดที่ 2 ข้อยกเว้นก็มีข้อความเช่นเดียวกันตรงที่ระบุว่า
“ก. สาเหตุของความเสียหายที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง
1. ความเสียหาย
อันเกิดจาก
............................
1.5 การกัดกร่อนหรือการผุกร่อน
การเกิดสนิม การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ความชื้น .......
อย่างไรก็ตาม
บริษัทจะรับผิดต่อความเสียหายตามข้อ 1.4 และ 1.5 หากเป็นผลโดยตรงจากความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัยหรือสถานที่ตั้งหรือเก็บทรัพย์สินดังกล่าว
อันเกิดจากสาเหตุที่มิได้ระบุยกเว้นไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้
............................
1.10 การชำรุดเสียหาย
หรือการขัดข้องของระบบกลไก หรือระบบไฟฟ้าของเครื่องจักรหรืออุปกรณ์
............................
อย่างไรก็ตาม
บริษัทจะรับผิดต่อความเสียหายอื่นที่ติดตามมาจากข้อ 1.6 ถึง 1.11
ถ้าหากความเสียหายที่ติดตามมานั้นเกิดจากสาเหตุที่มิได้ระบุยกเว้นไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้ หรือความเสียหายตามข้อ 1.6 ถึง 1.11 นั้นเป็นผลโดยตรงจากความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
หรือสถานที่ตั้งหรือเก็บทรัพย์สินดังกล่าวอันเกิดจากสาเหตุที่มิได้ระบุยกเว้นไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้”
ส่วนตัวเชื่อว่า
ศาลไทยคงตีความไม่ผิดแผกจากนี้ และถ้าท่านไปอ่านประกอบกับบทความที่เขียนไว้ภายใต้หัวข้อ
พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet
Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
และที่ https://www.facebook.com/BestTrainingAdvisory
เรื่อง
ภัยต่อเครื่องไฟฟ้า (Electrical Injury & Installation) เรื่องที่คุยกันไม่รู้จบ คงจะได้ภาพที่ชัดเจนขึ้นบ้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น