เรื่องที่ 76: ความสับสนระหว่างภัยการกระทำอันมีเจตนาร้าย (Malicious Act) หรือภัยการกระทำป่าเถื่อน (Vandalism) กับภัยลักทรัพย์ (Theft)
ดังที่เกริ่นในบทความเรื่อง ภาษาประกันภัย
คำใน คำนอก เรื่องที่ 2: การกระทำป่าเถื่อน (Vandalism) และการกระทำด้วยเจตนาร้าย (Malicious Act) หมายความถึงอะไร? ที่เขียนลงใน
Facebook เมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า
ทั้งสองภัยมีความหมายคล้ายคลึงกันมาก ทำให้ปัจจุบัน
บ้านเราคงเหลืออยู่เพียงภัยการกระทำด้วยเจตนาร้ายเท่านั้น
ถึงแม้ต่างประเทศยังมีการพูดถึงทั้งสองภัยกันอยู่
ประเด็นปัญหาในการตีความ คือ
เมื่อเทียบเคียงกับภัยลักทรัพย์แล้ว ทั้งภัยการกระทำป่าเถื่อน (Vandalism) ภัยการกระทำด้วยเจตนาร้าย (Malicious
Act) และภัยลักทรัพย์ (Theft) ล้วนสื่อความหมายเป็นการกระทำด้วยเจตนาร้ายทั้งสิ้น
แต่อาจมีเจตนาที่แท้จริงต่างกันไป เวลาเกิดข้อพิพาททางประกันภัย จะจำแนกตีความกันอย่างไร?
เรามาลองพิจารณาตัวอย่างคดีต่างประเทศนี้เป็นแนวทางกันนะครับ
อาคารพาณิชย์ของผู้เอาประกันภัยซึ่งได้ทำประกันภัยคุ้มครองแบบสรรพภัย
โดยรวมถึงภัยการกระทำป่าเถื่อน (Vandalism) แต่ยกเว้นภัยลักทรัพย์ (Theft) เอาไว้ ระหว่างรอว่าจ้างผู้รับเหมาเข้าไปตกแต่งปรับปรุงภายในใหม่
ปรากฏมีคนร้ายสองคนได้แอบเข้าไปรื้อทำลายทรัพย์สินต่าง ๆ เสียหายเป็นจำนวนมาก
พร้อมกับลักขโมยสายไฟกับข้าวของมีค่าต่าง ๆ หลบหนีไปด้วย
ครั้นผู้เอาประกันภัยได้ตรวจสอบความเสียหายทั้งหมดแล้ว
จึงได้มาแจ้งเรียกร้องให้บริษัทประกันภัยรับผิดชอบเฉพาะความเสียหายต่อตัวอาคารที่ถูกทำลายเสียหาย
แต่มิได้เรียกร้องเรื่องความเสียหายต่อสิ่งของต่าง ๆ ที่คนร้ายลักขโมยไป
ด้วยเข้าใจว่า ตกอยู่ในข้อยกเว้นภัยลักทรัพย์ดังที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าว
อย่างไรก็ดี บริษัทประกันภัยได้ปฏิเสธความคุ้มครองโดยสิ้นเชิง โดยอ้างว่า
ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากการลักทรัพย์อันตกอยู่ในข้อยกเว้น ฉะนั้น
ความเสียหายที่เกิดต่อตัวอาคารที่เอาประกันภัยจึงเป็นผลมาจากการลักทรัพย์ (resulting from theft) นั่นเอง
เมื่อเป็นคดีข้อพิพาทขึ้นมาสู่ศาล ศาลได้ทำการพินิจพิจารณาโดยอาศัยหลักการตีความดังนี้
ถ้าข้อความใดในกรมธรรม์ประกันภัยไม่ชัดเจน ให้ยกผลประโยชน์แห่งสงสัยนั้นแก่ฝ่ายผู้ที่มิได้ร่างถ้อยคำนั้น
ในที่นี้ คือ ผู้เอาประกันภัย และการตีความส่วนที่เป็นข้อยกเว้นนั้น
จำต้องตีความอย่างเคร่งครัดตามตัวอักษร โดยได้มีการแยกแยะเป็นประเด็นสำคัญ ดังนี้
1) ภัยการกระทำป่าเถื่อน (Vandalism) ได้ระบุคำจำกัดความไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยว่า “หมายความถึง
การกระทำโดยจงใจ หรือโดยเจตนาร้ายที่จะก่อให้เกิดความเสียหาย
หรือความวินาศแก่ทรัพย์สินที่ได้ระบุเอาประกันภัยไว้” ขณะที่ภัยลักทรัพย์ (Theft) มิได้กำหนดคำจำกัดความเอาไว้ แต่เมื่อพิจารณาถึงความหมายทั่วไป หมายถึง
การนำเอาทรัพย์สินของบุคคลอื่น หรือที่บุคคลครอบครองอยู่ไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ทั้งสองความผิดจำต้องพิจารณาถึงเจตนาที่แท้จริงของผู้กระทำผิดเป็นเกณฑ์ด้วย
อย่างไรก็ตาม เจตนาที่แท้จริงนั้นมิได้จำกัดอยู่เพียงช่วงเวลาเริ่มต้นเท่านั้น คือ
เจตนาเข้าไปเพื่อลักขโมย เพราะครั้นเข้าไปข้างในแล้ว คนร้ายอาจจะมีเจตนาอื่นเสริมเพิ่มเติมเข้ามาอีกก็เป็นได้
ยกตัวอย่างเช่น ในอาคารนั้น มีอยู่สิบห้อง คนร้ายเจตนาเข้าไปเพื่อขโมยเพชรที่เก็บไว้ในนั้น
แต่ไม่มีข้อมูลว่าอยู่ในห้องใด เก้าห้องแรกที่เข้าไปไม่พบ เลยทุบทำลาย หรือพ่นสีเป็นเครื่องหมายไว้
และมาค้นพบเพชรในห้องที่สิบ กรณีตัวอย่างเช่นนี้ ควรจะพิจารณาอย่างไร? ซึ่งฝ่ายจำเลยที่เป็นบริษัทประกันภัยเห็นพ้องกับศาลว่า
จำต้องพิจารณาแยกรายการความเสียหายแตกต่างกัน โดยที่ศาลเห็นต่างว่า เก้าห้องแรกถือเป็นการกระทำป่าเถื่อนตามความหมายของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้
2) ข้อยกเว้นภัยลักทรัพย์ (Theft) จะตีความให้ครอบคลุมถึงขนาดไหน? ควรตีความหมายถึงเพียงการลักทรัพย์เท่านั้น
หรือจะหมายความรวมถึงผลต่อเนื่องจากลักทรัพย์ด้วย แล้วทำไมในกรมธรรม์ประกันภัยจึงมิได้ถูกร่างให้ชัดเจนเช่นนั้น
เพราะผู้ร่างควรจะต้องตระหนักจุดประสงค์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี สมมุติว่า
ถ้าคนร้ายต้องการขโมยสายไฟที่ติดตั้งอยู่บนผนัง แล้วไปทำให้ผนังเสียหายไปด้วย
ศาลตีความว่า ผนังไม่คุ้มครองตามไปด้วยได้ เพราะถือว่า
เป็นผลต่อเนื่องจากภัยลักทรัพย์
3) การพยายามลักทรัพย์ (Attempted Theft) ซึ่งมิได้เขียนระบุยกเว้นไว้อย่างชัดแจ้งสามารถตีความให้เป็นการกระทำป่าเถื่อน (Vandalism) ที่เป็นภัยที่คุ้มครองได้หรือไม่?
สมมุติการทุบทำลายสิ่งของต่าง
ๆ เพื่อค้นหาของมีค่า แต่ไม่เจอ อย่างนี้จะถือเป็นการกระทำป่าเถื่อนได้หรือเปล่า?
เพราะการลักทรัพย์ไม่สำเร็จผลดังที่มีเจตนาไว้ ซึ่งศาลวินิจฉัยว่า
เนื่องด้วยข้อยกเว้นระบุแค่ไม่คุ้มครองการลักทรัพย์
(Theft) เท่านั้น โดยมิได้เอ่ยถึงการพยายามลักทรัพย์
(Attempted Theft) เลย
จึงตีความข้อยกเว้นนี้อย่างเคร่งครัดว่า ผู้ร่างไม่ประสงค์จะให้ยกเว้นถึงการพยายามลักทรัพย์ (Attempted Theft) ด้วย ความเสียหายจากสาเหตุดังกล่าวจึงเข้าข่ายภัยการกระทำป่าเถื่อน
(Vandalism) ดังที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้
ศาลตัดสินให้บริษัทประกันภัยรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายต่อตัวอาคารที่ได้เอาประกันภัยไว้ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้
(อ้างอิงจากคดี Mercedes Zee Corp., LLC v. Seneca Ins. Co., 2015 WL 9311343 (D. Conn. Dec. 22,
2015))
คุณมีความคิดเห็นในคดีนี้อย่างไรบ้างครับ?
และจะทดลองนำเหตุการณ์นี้ไปเทียบเคียงกับกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินฉบับมาตรฐานของบ้านเราก็ได้นะครับ
ซึ่งได้ระบุข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้องไว้ดังนี้
“ก. สาเหตุของความเสียหายที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง
1.
ความเสียหาย อันเกิดจาก
1.6 การลักทรัพย์ เว้นแต่เป็นการลักทรัพย์จากตัวอาคารโดยการเข้าไปหรือออกจากตัวอาคารนั้นด้วยการใช้กำลังอย่างรุนแรงและทำให้เกิดร่องรอยความเสียหายที่เห็นได้อย่างชัดเจนต่อตัวอาคาร”
เรื่องราวต่อไป: การหยุดชะงักของธุรกิจ หรือการได้รับผลกระทบต่อธุรกิจในกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักครอบคลุมถึงขนาดไหน?