เรื่องที่
70:
โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) ถือเป็นความเจ็บป่วย หรืออุบัติเหตุกันแน่?
(ตอนที่หนึ่ง)
คนที่ใช้มือทำงานมาก เช่น พนักงานป้อนข้อมูลคอมพิวเตอร์ ช่างเย็บเสื้อผ้า
ช่างไม้ คนงานในโรงงานผลิต แพทย์ เป็นต้น หรือคนทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันด้วยลักษณะท่าเดิมอยู่บ่อยครั้ง
เป็นต้นว่า การใช้คอมพิวเตอร์ มือถือ อาจประสบภาวะโรคที่เกี่ยวกับมือสุดฮิตขึ้นมาได้
อันประกอบด้วย
1.นิ้วล็อก (Trigger’s finger)
2.มือชาหรือพังผืดทับเส้นประสาทข้อมือ
หรือเรียกรวม ๆ ว่าโรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ
หรือบางครั้งเรียกว่า กลุ่มอาการประสาทมือชา (Carpal
Tunnel Syndrome)
3.เอ็นข้อมืออักเสบ
(De Quevain’s)
4.ก้อนเนื้อ
หรือ ถุงน้ำบริเวณข้อมือ (Carpal ganglion)
เมื่อโรคเหล่านี้มาเกี่ยวข้องกับการประกันภัย ก็เกิดเป็นคดีข้อพิพาทขึ้นมาว่า
ถือเป็นความเจ็บป่วย (Sickness) จากโรคภัย หรือเป็นความบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ (Accidental
Injury) กันแน่?
เรื่องราวเกิดขึ้นแก่สูตินารีแพทย์ชายท่านหนึ่งซึ่งประกอบวิชาชีพมาตั้งแต่ปี
ค.ศ. 1969
ด้วยการใช้มือทำการตรวจรักษาด้วยลักษณะท่าทางเดิมมาโดยตลอด กระทั่งประมาณปี
ค.ศ. 1994 หรือ 1995
หลังจากประกอบวิชาชีพนี้มาได้ร่วมยี่สิบห้าปีแล้ว ก็เริ่มรู้สึกถึงอาการเจ็บที่มือซ้ายเป็นระยะ
ๆ เวลาที่ทำการตรวจรักษาคนไข้
ทั้งที่มิได้เคยประสบอุบัติเหตุที่มือข้างนั้นมาก่อนเลย แต่ยังมิได้ไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบแต่ประการใด
ต่อมาปี ค.ศ. 1997
เมื่ออาการไม่ดีขึ้น จึงไปพบแพทย์เกี่ยวกับการรักษากระดูกและกล้ามเนื้อ
(Orthopedic
Surgeon) โดยตรง ซึ่งตรวจพบภาวะโรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ
(Carpal
Tunnel Syndrome) และได้ไปพบศัลยแพทย์ทางประสาท
(Neurosurgeon)
อีกท่านหนึ่งเพื่อตรวจยืนยันด้วยการตรวจเส้นประสาทมีเดียน (Median
Nerve) ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่เลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณแขน และมือ
และรับความรู้สึกบริเวณฝ่ามือ นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และครึ่งหนึ่งของนิ้วนาง
ซึ่งให้ผลยืนยันภาวะออกมาเช่นเดียวกัน โดยแจ้งว่า ได้เกิดอาการสะสมต่อเนื่องกันมานานหลายปีแล้ว
จำต้องทำการรักษาอย่างจริงจังเสียที
ภายหลังการรักษาอย่างต่อเนื่องทั้งทางด้านการใช้ยาและการผ่าตัด
ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แพทย์ผู้ป่วยรายนี้ได้ตัดสินใจยุติการประกอบวิชาชีพสูตินารีแพทย์ในวันที่
1
เมษายน ค.ศ. 1998 เพราะไม่สามารถใช้มือซ้ายที่ถนัดทำงานได้อีกต่อไป
และอาการเริ่มลุกลามต่อเนื่องไปที่มือขวาแล้ว
แม้จะเกษียณตัวเอง แพทย์ผู้ป่วยรายนี้ยังใช้ชีวิตประจำวันอย่างสนุกสนานตามปกติ
ไม่ว่าจะไปเล่นกอล์ฟ ตกปลาทุกสัปดาห์
เนื่องจากตนเองได้ทำประกันภัยไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งซึ่งให้ความคุ้มครองค่าทดแทนจากการทุพพลภาพ
(Disability)
ซึ่งได้เกิดขึ้นระยะเวลาเอาประกันภัย โดยมีเงื่อนไขดังนี้
(1) ถ้าการทุพพลภาพเนื่องจากความบาดเจ็บ (Injury) ผู้เอาประกันภัยจะได้รับค่าทดแทนจนตลอดชีวิต
สำหรับการทุพพลภาพสิ้นเชิง (Lifetime Benefits for Total Disability) ซึ่งเกิดขึ้นก่อนอายุ 65 ปี
โดยให้คำจำกัดความ “ความบาดเจ็บ (Injury)”
หมายถึง ความบาดเจ็บทางร่างกายโดยอุบัติเหตุซึ่งได้เกิดขึ้นระหว่างระยะเวลาเอาประกันภัย
(2) ถ้าการทุพพลภาพเนื่องจากความเจ็บป่วย (Sickness) ผู้เอาประกันภัยจะได้รับค่าทดแทนสูงสุด 48 เดือน สำหรับการทุพพลภาพ (Disability) ซึ่งเริ่มต้นระหว่างอายุ 61 กับ 62 ปี
โดยให้คำจำกัดความ “ความเจ็บป่วย (Sickness)”
หมายถึง ความเจ็บป่วย หรือโรคภัยที่ปรากฏขึ้นมาภายในระยะเวลาเอาประกันภัย
สรุป คือ กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ให้ความคุ้มครองทั้งทางด้านความบาดเจ็บโดยอุบัติเหตุ
และความเจ็บป่วย เพียงแต่วงเงินค่าทดแทนจะได้รับไม่เท่ากัน อนึ่ง คำว่า “ทุพพลภาพสิ้นเชิง
(Total
Disability)” ยังให้คำนิยามว่า การทุพพลภาพสิ้นเชิงเนื่องจากความบาดเจ็บ
หรือความเจ็บป่วยจะต้องถึงขนาดทำให้ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถประกอบหน้าที่การงานที่สำคัญในอาชีพของตนได้อีกต่อไป
และยังคงได้รับการรักษาดูแลจากแพทย์ตามสมควรแห่งสภาวะอาการที่ก่อให้เกิดทุพพลภาพนั้น
ผู้เอาประกันภัยรายนี้ได้เรียกร้องค่าทดแทนต่อบริษัทประกันชีวิตโดยระบุว่า ทุพพลภาพเริ่มตั้งแต่วันที่เลิกประกอบวิชาชีพ
คือ วันที่ 1 เมษายน
ค.ศ. 1998 บริษัทประกันชีวิตนี้ตกลงชดใช้ค่าทดแทนเนื่องจากความเจ็บป่วยในวงเงินสูงสุดไม่เกิน
48 เดือนเท่านั้น
ผู้เอาประกันภัยจึงได้นำคดีขึ้นสู่ศาลเรียกร้องให้บริษัทประกันชีวิตชดใช้ค่าทดแทนตลอดชีพเนื่องจากความบาดเจ็บโดยอุบัติเหตุตามเงื่อนไขความคุ้มครองข้อแรกของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าว
ทำให้เกิดประเด็นข้อพิพาทขึ้นมาสามประเด็น
คือ
(1) การทุพพลภาพดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากความบาดเจ็บ
หรือความเจ็บป่วย?
(2) ผู้เอาประกันภัยมีสิทธิที่จะได้รับค่าทดแทนเนื่องจากความบาดเจ็บหรือไม่?
(3) ความบาดเจ็บนั้นเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในระยะเวลาเอาประกันภัยหรือไม่?
เราคงต้องอดใจรอบทสรุปแห่งคดีนี้คราวหน้านะครับ
ช่วงนี้จะลองเดาผลคดีไปพลาง ๆ ก่อนก็ได้ครับ