วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เรื่องที่ 62: เมื่อบริษัทประกันภัยซึ่งคุ้มครองทรัพย์สินส่วนกลางที่เสียหาย ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นิติบุคคลอาคารชุด ผู้เอาประกันภัยของตนแล้ว สามารถรับช่วงสิทธิไปไล่เบี้ยเอากับเจ้าของห้องชุดต้นเหตุได้หรือไม่? และนิติบุคคลอาคารชุดนั้นสามารถเรียกร้องค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) ที่ตนต้องรับผิดชอบเอง กลับคืนจากเจ้าของห้องชุดนั้นได้หรือไม่?



(ตอนที่หนึ่ง)

สัปดาห์นี้ เราเปลี่ยนเรื่องมาคุยกันถึงข้อพิพาทสองกรณี คือ
1) ระหว่างเจ้าของห้องชุดต้นเหตุกับบริษัทประกันภัยผู้รับช่วงสิทธิมาจากนิติอาคารชุด ผู้เสียหายกรณีหนึ่ง และ
2) ระหว่างเจ้าของห้องชุดนั้นกับนิติบุคคลอาคารชุด ผู้เสียหายซึ่งมาเรียกร้องค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) กลับคืนมาจากเจ้าของห้องชุดต้นเหตุอีกกรณีหนึ่ง
โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า ณ อาคารชุดที่พักอาศัยแห่งหนึ่ง เจ้าของห้องชุดห้องหนึ่งได้ประมาทเลินเล่อลืมปิดก๊อกน้ำในห้องน้ำของตน จนทำให้น้ำไหลท่วมออกไปสร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุดหลังนั้น ประเมินค่าเสียหายของทรัพย์สินส่วนกลางนั้นแล้ว มีมูลค่าทั้งสิ้น 65,000 บาท เนื่องด้วยตัวนิติบุคคลอาคารชุดนั้นเองได้จัดทำประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินเอาไว้ จึงได้ไปเรียกร้องให้บริษัทประกันภัยของตนมารับผิดชอบ แต่ด้วยความที่ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินฉบับนั้นได้กำหนดค่าเสียหายส่วนแรก ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบเอง เป็นจำนวนเงิน 5,000 บาทแรก ต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้ง และทุกครั้ง ภายใต้ภัยเนื่องจากน้ำเอาไว้ บริษัทประกันภัยจึงรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นิติบุคคลอาคารชุด ผู้เอาประกันภัยของตนรายนี้เพียง 60,000 บาทเท่านั้น
ดังนั้น จึงเกิดเป็นข้อพิพาทขึ้นมาสองกรณีดังกล่าว คือ
1) บริษัทประกันภัยรายนั้นได้รับช่วงสิทธิจากนิติบุคคลอาคารชุด ผู้เอาประกันภัยของตน มาเรียกร้องเงินจำนวน 60,000 บาทที่ตนได้ชดใช้ไปแล้ว กลับคืนจากเจ้าของห้องชุดต้นเหตุ และ
2) นิติบุคคลอาคารชุด ผู้เสียหายยังมาเรียกร้องเงินจำนวน 5,000 บาทที่มิได้รับการชดใช้จากบริษัทประกันภัยรายนั้น กลับคืนจากเจ้าของห้องชุดต้นเหตุนั้นด้วย
เมื่อเจอการเรียกร้องสองกรณี เจ้าของห้องชุดต้นเหตุได้บ่ายเบี่ยงความรับผิด โดยอ้างว่า
1) ค่าเบี้ยประกันภัย สำหรับความคุ้มครองทรัพย์สินส่วนกลางที่ได้ทำประกันภัยในนามของนิติบุคคลอาคารชุดนั้น ตนเองก็มีส่วนชำระอยู่ด้วยตามส่วน จึงถือเสมือนหนึ่งตนเป็นผู้เอาประกันภัยร่วมด้วย (implied co-insured) บริษัทประกันภัยจึงมิอาจใช้สิทธิไล่เบี้ยเอากับผู้เอาประกันภัยของตนได้
2) เช่นกัน ค่าใช้จ่ายส่วนกลางในการบำรุงรักษาทรัพย์สินส่วนกลางนั้น ตนเองก็มีส่วนชำระตามส่วนอยู่เสมอ ทำไมจะต้องมาให้ตนรับผิดเพิ่มอีก
กรณีผลจะออกมาคล้ายคลึงกับเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างผู้เช่ากับผู้ให้เช่า และบริษัทประกันภัยไหมครับ?
 



วันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เรื่องที่ 61: ผู้เช่าส่วนหนึ่งของอาคารทำร้านอาหาร แล้วทำให้เกิดไฟไหม้อาคารที่เช่าทั้งหลัง หลังจากบริษัทประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองอาคารเช่านั้นได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ให้เช่า ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยของตนไปแล้ว สามารถรับช่วงสิทธิไปไล่เบี้ยเอากับผู้เช่าที่เป็นต้นเพลิงได้หรือไม่?



(ตอนที่สี่)
ตอนนี้เป็นบทสรุปของเรื่องที่ 60 และเรื่องที่ 61 อันเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทที่บริษัทประกันภัยของผู้ให้เช่าสามารถใช้สิทธิไล่เบี้ยเอากับผู้เช่า ซึ่งประมาทเลินเล่อทำให้ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยของผู้ให้เช่าจนเสียหายได้หรือไม่? 
โดยหลักการประกันภัยทั่วไปแล้ว ทรัพย์สินของใคร คนนั้นก็ทำประกันภัยทรัพย์สินของตนเองไป กล่าวคือ ต่างคน ต่างก็ทำประกันภัยคุ้มครองทรัพย์สินของตนเอง หรือภาษาประกันภัยเรียกว่า "ส่วนได้เสียที่เอาประกันภัยได้" แต่เนื่องจากส่วนได้เสียที่เอาประกันภัยได้นั้นมีความหมายกว้างกว่าการเป็นเพียงเจ้าของกรรมสิทธิ์เท่านั้น ผู้มีสิทธิอย่างอื่นตามกฎหมายในทรัพย์สินนั้น ก็สามารถที่จะเอาประกันภัยได้เช่นกัน ดังในประเด็นเรื่องนี้
จะสังเกตุเห็นว่า แนวทางคำพิพากษาของศาลทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศอังกฤษเดินทางตามแนวเดียวกัน โดยอาศัยการพิจารณาจากประเด็นหลัก ๆ ดังนี้
1) ประเด็นหลักกฎหมายสัญญาเช่าที่ว่า ความเสียหายใหญ่ที่เกิดแก่ทรัพย์สินที่ให้เช่า เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ให้เช่า ส่วนความเสียหายเล็กน้อยเนื่องจากการใช้ทรัพย์สินที่เช่านั้นตามปกติวิสัย ให้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้เช่า ดังนั้น เมื่อเกิดไฟไหม้ หรือน้ำท่วม จึงตกเป็นภาระของผู้ให้เช่าไป
2) ประเด็นลักษณะการเช่า เช่น เช่าเพื่ออยู่อาศัย เช่าเพื่อการพาณิชย์ เป็นต้น และอายุสัญญาเช่า สั้น หรือยาว หากเป็นการเช่าช่วงสั้น ๆ โดยปกติแล้ว คงไม่สมเหตุผลนักที่จะกำหนดให้ผู้เช่าเป็นผู้จัดทำประกันภัยคุ้มครองทรัพย์สินที่เช่า แนวศาลประเทศสหรัฐอเมริกามองว่า สำหรับการเช่าเพื่ออยู่อาศัย ถ้ามิได้มีข้อกำหนดของสัญญาเช่าอย่างชัดแจ้ง ให้ถือเบื้องต้นว่า ผู้ให้เช่าเป็นผู้จัดทำประกันภัยทรัพย์สินที่ให้เช่าเอง ส่วนศาลประเทศอังกฤษมิได้แยกแยะเช่นนั้น
3) ประเด็นสัญญาเช่าได้มีข้อกำหนดอย่างชัดแจ้งต่างจากหลักกฎหมายข้างต้นหรือไม่? มีข้อกำหนดให้ผู้เช่าเป็นผู้จัดทำประกันภัยครอบคลุมถึงทรัพย์สินที่เช่าหรือไม่? ถ้ามี ก็ว่ากันไปตามข้อกำหนดระหว่างคู่สัญญาเช่านั้น ๆ
ตราบใดที่มิได้มีข้อกำหนดแห่งสัญญาเช่าเป็นอย่างอื่นอย่างชัดแจ้ง เบื้องต้นให้ถือว่า การจัดทำประกันภัยคุ้มครองทรัพย์สินที่เช่าเป็นหน้าที่ของผู้ให้เช่า เพื่อประโยชน์ของผู้เช่าด้วย แม้ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนั้นจะระบุเพียงผู้ให้เช่าเป็นผู้เอาประกันภัยรายเดียวเท่านั้นก็ตาม ศาลตีความให้ผู้เช่าเป็นเสมือนผู้เอาประกันภัยร่วม (implied co-insured) โดยอาศัยหลักกฎหมายเรื่องตัวการ ตัวแทนมาพิจารณาประกอบด้วย จากเหตุผลดังกล่าว จึงทำให้บริษัทประกันภัยมิอาจรับช่วงสิทธิไปไล่เบี้ยเอากับผู้เช่าได้ ถึงแม้จะเป็นผู้กระทำละเมิดแก่ผู้ให้เช่าก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ศาลในประเทศสหรัฐอเมริกาก็ยังมีมุมมองประเด็นนี้แตกต่างกันอยู่ ยังมิได้ถือเป็นยุติเสียทีเดียว แต่น่าสนใจว่า หลายประเทศ อย่างประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย มาเลเซีย ก็ใช้แนวคำพิพากษาของศาลประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เรียกว่า “ทฤษฏีซัตตัน (Sutton Rule)นี้ ในการอ้างอิงด้วยเหมือนกัน
เท่าที่ค้นคว้า ผมยังไม่พบเจอคำพิพากษาศาลฎีกาของไทยในประเด็นเรื่องนี้ แต่เจตนารมณ์ที่นำประเด็นข้อพิพาทนี้มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้เป็นข้อมูลเสริมเพิ่มมุมมองที่แตกต่างออกไปเท่านั้น จึงขอความกรุณาใช้วิจารญาณด้วยนะครับ
เพื่อช่วยลดข้อพิพาทประเด็นนี้ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศได้เสนอแนะแนวทางให้เลือกพิจารณา ดังนี้
1) เขียนข้อตกลงในสัญญาเช่ากันไว้อย่างชัดเจน
2) กำหนดให้ผู้เช่าเป็นผู้เอาประกันภัยร่วมกับผู้ให้เช่าในกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองทรัพย์สินที่ให้เช่า
3) ถ้าผลักภาระให้ผู้เช่าเป็นผู้เอาประกันภัยเพียงฝ่ายเดียวในกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองทรัพย์สินที่ให้เช่า ให้ระบุผู้ให้เช่าเป็นผู้รับประโยชน์แทน
4) เพิ่มเติมเอกสารแนบท้าย หรือเงื่อนไขพิเศษแล้วแต่กรณี เป็นต้นว่า การสละสิทธิการรับช่วงสิทธิ (Waiver of Subrogation) ส่วนได้เสียของบุคคลอื่น (Other Interests) ทรัพย์สินภายใต้การดูแลรักษา และควบคุม (Property Under Care, Custody & Control)
แต่ละทางเลือกมีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกัน จำต้องพิจารณาตามความเหมาะสมประกอบด้วยนะครับ ดังที่เคยเล่าสู่กันฟังบ้างแล้วในบทความเรื่องที่ 36: กรมธรรม์ประกันภัยฉบับเดียว มีผู้เอาประกันภัยหลายคน (Multi-Insureds) ดีหรือไม่? ลองกลับไปอ่านทบทวน ก็คงให้ภาพชัดเจนมากขึ้น
อย่าลืม ทำประกันภัยคุ้มครองทรัพย์สินกับความรับผิดตามกฎหมายของตนเองเผื่อไว้ด้วยนะครับ
ยังมีคดีอื่น ๆ ที่น่าสนใจในประเด็นเรื่องนี้อีก เอาไว้จะค่อย ๆ ทยอยนำมาเขียนในโอกาสต่อไป
สำหรับบทความเรื่องต่อไป เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคอนโดมิเนียมครับ ซึ่งมีลักษณะความเสี่ยงภัยที่เทียบเคียงกับอพาร์เมนต์ที่ให้เช่าว่า ถ้าเจ้าของห้องชุดห้องหนึ่งประมาทเลินเล่อทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินส่วนกลาง หรือทรัพย์สินของเจ้าของห้องชุดที่อยู่ข้างเคียง ผลทางคดีจะเป็นอย่างไร?
พบกันสัปดาห์หน้าครับ

วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เรื่องที่ 61: ผู้เช่าส่วนหนึ่งของอาคารทำร้านอาหาร แล้วทำให้เกิดไฟไหม้อาคารที่เช่าทั้งหลัง หลังจากบริษัทประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองอาคารที่เช่านั้นได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ให้เช่า ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยของตนไปแล้ว สามารถรับช่วงสิทธิไปไล่เบี้ยเอากับผู้เช่าที่เป็นต้นเพลิงได้หรือไม่?



(ตอนที่สาม)

แม้ขึ้นหัวเรื่องใหม่ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องการรับช่วงสิทธิของบริษัทประกันภัยที่ไปไล่เบี้ยกับผู้เช่าอาคาร ซึ่งเป็นผู้ก่อให้เกิดไฟไหม้
คดีนี้เกิดขึ้นทางฝั่งประเทศอังกฤษ
เจ้าของอาคารหลังหนึ่งได้แบ่งพื้นที่ของอาคารทั้งหลังให้เช่าแก่ผู้เช่าสามราย ผู้เช่ารายหนึ่งได้เช่าชั้นใต้ดินทำเป็นร้านอาหาร อยู่มาวันหนึ่ง ได้เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นที่ส่วนจัดเก็บสต็อกวัสดุไวไฟของร้านอาหารนั้น และลุกลามอย่างรุนแรงจนทำให้อาคารทั้งหลังนั้นเสียหายโดยสิ้นเชิง
โชคดีที่เจ้าของอาคารนั้นได้จัดทำประกันภัยทรัพย์สินคุ้มครองภัยไฟไหม้ไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง โดยระบุเพียงชื่อเจ้าของอาคารนั้นเป็นผู้เอาประกันภัยเพียงรายเดียว เมื่อบริษัทประกันภัยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารนั้นไปแล้ว ก็สวมสิทธิของผู้เอาประกันภัยของตน มาไล่เบี้ยเอากับผู้เช่ารายที่เป็นต้นเพลิงตามกฎหมาย ผู้ซึ่งมีประกันภัยเพียงกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกเท่านั้น แต่ได้รับการปฏิเสธจากผู้เช่ารายนั้น บริษัทประกันภัยดังกล่าวจึงนำคดีนี้ขึ้นสู่ศาล
ศาลชั้นต้นตัดสินให้ฝ่ายจำเลยผู้เช่าชนะคดี ฝ่ายโจทก์บริษัทประกันภัยจึงนำคดีขึ้นสู่ชั้นศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อสัญญาเช่าได้กำหนดให้ผู้เช่าต้องรับผิดในค่าเบี้ยประกันภัยของตัวอาคารนั้นตามส่วนของพื้นที่ที่ตนเช่าอยู่ เผื่อเวลาเมื่อเกิดความเสียหายอย่างเช่นไฟไหม้ขึ้น เจ้าของอาคารนั้นจะได้รับเงินชดเชยจากบริษัทประกันภัย เพื่อไปจัดทำให้อาคารนั้นกลับคืนสู่สภาพดังเดิมได้ แม้กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินดังกล่าวจะระบุเพียงเจ้าของอาคารนั้นเป็นผู้เอาประกันภัยไว้เท่านั้น ก็มิได้หมายความว่า จำเลยผู้เช่ารายนี้ถือเป็นบุคคลภายนอก ไม่อาจใช้ประโยชน์ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าวได้เลย เนื่องจากจำเลยเองก็มีส่วนในค่าเบี้ยประกันภัยของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนั้นด้วยเช่นกัน แม้จะเพียงตามส่วนก็ตาม ข้อโต้แย้งของฝ่ายโจทก์เรื่องส่วนได้เสียของจำเลยที่จำกัดอยู่เพียงตามส่วนของพื้นที่เช่า มิใช่ทั้งตัวอาคารนั้น ศาลไม่เห็นพ้องด้วย เพราะหากเกิดไฟไหม้ตรงจุดอื่น ก็อาจส่งผลกระทบต่อจำเลยผู้เช่านี้ได้เช่นกัน ประกอบกับกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ให้ความคุ้มครองต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัยจากภัยที่กำหนดคุ้มครองเอาไว้ ในกรณีนี้ คือ ไฟไหม้ จึงไม่คำนึงว่า ไฟไหม้นั้นจะเกิดด้วยความประมาทเลินเล่อของจำเลยผู้เช่านี้หรือไม่ ก็ล้วนจะได้รับความคุ้มครองทั้งสิ้น ดังนั้น โจทก์บริษัทประกันภัยจึงมิอาจไล่เบี้ยเอากับจำเลยผู้เช่า ซึ่งถือเสมือนเป็นผู้เอาประกันภัยร่วมรายนี้ได้
คดีนี้ยุติเพียงชั้นศาลอุทธรณ์ เพราะโจทก์บริษัทประกันภัยมิได้ยื่นฎีกาคัดค้าน (อ้างอิงจากคดี Mark Rowlands v Berni Inns Ltd [1986] 1QB 211) ภายหลังศาลสูงในคดีอื่นที่คล้ายคลึงกันของประเทศอังกฤษก็ได้อ้างอิง และเดินตามแนวทางคดีนี้ด้วยเช่นกัน
เราจะมาสรุปภาพรวมกันทั้งหมดในตอนที่สี่ของเรื่องนี้อีกที ในสัปดาห์หน้านะครับ