ตอนที่สอง)
ข้อพิพาทเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อนบ้านเรานี่เอง เรื่องราวเป็นดังนี้ครับ
ผู้รับเหมารายหนึ่งประมูลได้งานปรับปรุงและขยายถนนเชื่อมเมืองสายหนึ่ง
เป็นระยะทางหลายสิบกิโลเมตรจากรัฐบาลมาเลเซีย โดยมีเงื่อนไขว่า ให้จัดการก่อสร้างเป็นช่วงงานลำดับ
เพื่อมิให้เกิดการรบกวนการใช้ถนนของผู้ที่สัญจรไปมาบนเส้นทางสายนั้นด้วย
และให้จัดทำประกันภัยการประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิด สำหรับผู้รับเหมาก่อสร้าง
โดยระบุรัฐบาลในฐานะเจ้าของโครงการร่วมเป็นผู้เอาประกันภัยกับผู้รับเหมาดังกล่าวด้วย
และมีระยะเวลาเอาประกันภัยตรงกับสัญญาว่าจ้างด้วย คือ ระหว่างวันที่ 20
มิถุนายน ค.ศ. 2002
ถึงวันที่ 19
มิถุนายน ค.ศ. 2005
ผู้รับเหมารายนี้จึงได้ไปทำประกันภัยดังกล่าวกับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง
ซึ่งได้ออกกรมธรรม์ประกันภัยมาให้เป็นหลักฐาน
โดยระบุระยะเวลาเอาประกันภัยตามช่วงเวลาข้างต้น บวกด้วยระยะเวลาบำรุงรักษาตั้งแต่วันที่
20
มิถุนายน ค.ศ. 2005
ถึงวันที่ 19
มิถุนายน ค.ศ. 2007
ต่อมา
ได้มีการร้องขอขยายระยะเวลาของโครงการออกไป บริษัทประกันภัยจึงได้ออกใบสลักหลังแก้ไขระบุระยะเวลาเอาประกันภัยเป็นระหว่างวันที่
20
มิถุนายน ค.ศ. 2002
ถึงวันที่ 18
มิถุนายน ค.ศ. 2007 และระยะเวลาบำรุงรักษาเป็นตั้งแต่วันที่
1
มกราคม ค.ศ. 2007
ถึงวันที่ 15
เมษายน ค.ศ. 2009
ครั้นวันที่ 22 ธันาคม ค.ศ. 2006 ผู้รับเหมารายนี้ได้ยื่นหนังสือแจ้งเหตุน้ำท่วมช่วงถนนตอนหนึ่งจนได้รับความเสียหาย
ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 2006
ภายหลังจากการไปตรวจสอบของผู้ประเมินวินาศภัยแล้ว
บริษัทประกันภัยได้มีหนังสือปฎิเสธความรับผิดถึงผู้รับเหมารายนี้ในวันที่ 29
มิถุนายน ค.ศ. 2007
ด้วยเหตุผล ดังนี้
1)
ตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ที่ระบุว่า
“ความรับผิดของผู้รับประกันภัยจะสิ้นสุดลงเช่นกัน
เมื่อส่วนใดๆ ของงานว่าจ้างที่ได้เอาประกันภัยไว้นั้นได้ถูกครอบครอง (taken over) หรือถูกใช้งาน (taken
into use) (แล้วแต่กรณีใดเกิดขึ้นก่อนกัน) โดยผู้ว่าจ้าง ก่อนวันที่สิ้นสุดดังระบุไว้ในตารางกรมธรรม์ประกันภัย”
ช่วงงานถนนที่เสียหายได้ถูกใช้งานไปแล้วก่อนวันที่เกิดเหตุ ความคุ้มครองจึงได้สิ้นสุดลงแล้ว เช่นเดียวกับช่วงงานอื่น
ๆ ของถนนที่สร้างเสร็จ และปล่อยให้รถวิ่งสัญจรไปมาได้ตามปกติ
2)
ตามเงื่อนไขพิเศษ
“Endorsement 116 – Cover
for insured contract works taken over or put into service” ที่ขยายไว้ได้ระบุว่า “ขยายความคุ้มครองถึงความสูญเสีย
หรือความเสียหายต่อส่วนของงานก่อสร้างตามสัญญาว่าจ้างที่ได้เอาประกันภัยไว้นั้น
ซึ่งได้ถูกครอบครอง หรือถูกใช้งานไปแล้ว หากว่า ความสูญเสีย หรือความเสียหายดังกล่าวจะได้เกิดขึ้นมาจากการก่อสร้างดังที่ได้เอาประกันภัยไว้ในหมวดที่ 1 และได้เกิดขึ้นในระหว่างระยะเวลาเอาประกันภัยด้วย”
เหตุน้ำท่วมจากภัยธรรมชาติ
มิได้เกิดจากการก่อสร้างดังที่กำหนดไว้
ผู้รับเหมารายนี้จึงนำคดีขึ้นสู่ศาล
โดยให้การว่า ตามสัญญาว่าจ้างได้กำหนดเงื่อนไขให้ทำการก่อสร้างเป็นช่วง ๆ โดยมิให้ปิดการจราจรโดยสิ้นเชิง
ต้องปล่อยให้รถวิ่งผ่านไปมาได้ตามปกติ เนื่องจากเป็นถนนหลักเชื่อมเมือง
แต่ให้เพิ่มมาตรการป้องกันความปลอดภัยแก่ผู้ที่สัญจรไปมาด้วย ซึ่งเวลาทำประกันภัย
บริษัทประกันภัยก็รับทราบเงื่อนไขข้อนี้แล้ว และได้ตกลงรับประกันภัย
ทั้งระหว่างก่อสร้าง ผู้แทนของบริษัทประกันภัยยังเข้ามาตรวจความคืบหน้าของโครงการเป็นระยะ
โดยปราศจากข้อโต้แย้งแต่ประการใด
อนึ่ง เมื่อมีการส่งมอบถนนเป็นช่วงงานใด
ผู้ว่าจ้างก็จะออกหนังสือรับมอบงาน สำหรับช่วงงานนั้นให้
ระยะเวลาบำรุงรักษาเฉพาะช่วงงานนั้น ก็จะเริ่มนับต่อไป
ภายหลังจากทั้งโครงการเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ว่าจ้างจะออกหนังสือรับมอบงานรวมอีกครั้ง
ซึ่งโครงการนี้สร้างเสร็จสิ้นทั้งหมดในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2007* (วันที่อาจไม่สอดคล้องกับระยะเวลาเอาประกันภัย แต่เขียนไว้เช่นนี้ครับ)
และผู้ว่าจ้างได้เข้าไปครอบครองในวันถัดไป ระยะเวลาบำรุงรักษาสองปี
ก็เริ่มนับต่อจากนั้น
ผู้ประเมินวินาศภัย
ซึ่งเป็นพยานของบริษัทประกันภัยโต้แย้งว่า ระหว่างการก่อสร้างในแต่ละช่วง ฝั่งตอนใดของถนนที่ก่อสร้างอยู่
ในความเป็นจริง ไม่อาจปล่อยให้รถวิ่งได้ตามปกติอยู่แล้ว มิฉะนั้นจะทำการก่อสร้างไม่ได้
เพียงแต่แบ่งฝั่งตอนที่ยังมิได้ก่อสร้างให้รถวิ่งผ่านไปมาได้เท่านั้น เมื่อฝั่งตอนใดเสร็จแล้ว
ก็ย้ายการจราจรมาแทน แล้วทำการก่อสร้างฝั่งตอนที่เหลือต่อไป ฉะนั้น ฝั่งตอนที่สร้างเสร็จ
และปล่อยให้รถแล่นไปมาได้ จึงถือว่า ได้มีการถูกใช้ง่านแล้ว
ซึ่งได้แจ้งให้ผู้รับเหมารายนี้รับทราบแล้วด้วย เวลาที่ไปตรวจสอบ แต่อย่างไรก็ดี ยอมรับว่า
ช่วงงานของถนนที่เกิดเหตุนั้นอยู่ในช่วงระยะเวลาเอาประกันภัยที่ขยาย
และยังมิได้มีการออกหนังสือรับมอบงาน สำหรับช่วงงานนั้น หรือทั้งโครงการจากผู้ว่าจ้างเลย
ประเด็นพิจารณาของศาลในคดีนี้ จึงอยู่ที่ว่า
1) ได้มีการเข้าครอบครอง
หรือใช้งานในช่วงงานก่อสร้างที่เกิดเหตุแล้วหรือยัง?
2) ความสูญเสีย
หรือความเสียหายดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการก่อสร้างหรือไม่?
และมิได้มีสาเหตุเนื่องจากความบกพร่องของวัสดุ ฝีมือแรงงาน หรือการออกแบบผิดพลาด
อันจะอยู่ในข้อยกเว้นด้วย
คงต้องขอไปต่อบทสรุปตอนหน้านะครับ
อดใจรออีกนิดครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น