วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องที่ 47: ผู้ซื้อรถที่ถูกขโมยมา สามารถเอาประกันภัยได้หรือไม่?


มีผู้เอาประกันภัยรถยนต์รายหนึ่ง รถยนต์ถูกคนร้ายขโมยไป จึงไปเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยของตนตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ภาคสมัครใจ ประเภทหนึ่ง

บริษัทประกันภัยรายนั้นกลับปฏิเสธความรับผิด เนื่องจากการสืบสวนข้อมูลได้ความว่า รถยนต์คันที่เอาประกันภัยนั้น ทะเบียนเป็นของปลอม และเป็นรถที่ถูกขโมยมาก่อนหน้านั้น โดยคนร้ายได้ไปจัดทำทะเบียนปลอมมาสวมแทน จากนั้น ได้นำมาประกาศขาย ผู้เอาประกันภัยรายนี้ได้ไปซื้อมาเป็นของตน และได้จดทะเบียนโอนมาเป็นชื่อของตนกับหน่วยงานราชการอย่างถูกต้อง จึงนำรถคันนั้นมาทำประกันภัยกับบริษัทประกันภัยรถยนต์ดังกล่าว

เนื่องด้วยข้อมูลที่สืบค้นมาชัดเจนว่า คนขายรถยนต์คันนี้มิใช่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อย่างแท้จริง ผู้เอาประกันภัยรายนี้ที่ไปซื้อต่อมา จึงไม่มีสิทธิในรถคันนี้ ทำให้ไม่มีส่วนได้เสียที่จะเอาประกันภัยรถคันนี้ได้ สัญญาประกันภัยจึงไม่มีผลผูกพันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 บริษัทประกันภัยไม่จำต้องผูกพันที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย ด้วยเหตุผลดังกล่าว

เรื่องนี้ จึงเกิดเป็นข้อพิพาทขึ้นมาสู่ศาลว่า ผู้เอาประกันภัยรายนี้มีส่วนได้เสียในรถคันนี้หรือไม่? และบริษัทประกันภัยจำต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยหรือเปล่า?

ผู้เอาประกันภัยรายนี้โต้แย้งว่า ตนซื้อรถคันนี้โดยสุจริตใจ ไม่ทราบว่า เป็นรถที่ถูกขโมยมา ทั้งเวลาที่ไปโอนทะเบียน เจ้าหน้าที่ก็ดำเนินการให้อย่างไม่มีข้อโต้แย้งประการใด จนกระทั่งมาเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาในที่สุด

เรื่องนี้สู้กันถึงศาลฎีกา มาพิจารณาคำวินิจฉัยของศาลฎีกาท่านดูนะครับ  

แม้ผู้ขายรถยนต์คันพิพาทให้แก่โจทก์ ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยรายนี้จะไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาท ไม่อาจโอนขายให้โจทก์ได้ก็ตาม แต่ข้อความจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้รับโอนรถยนต์คันพิพาทมาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทน มีการโอนทะเบียนรถยนต์โดยเปิดเผย โจทก์ได้ยึดถือรถยนต์คันพิพาทไว้โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน มีการแจ้งย้ายทะเบียนรถยนต์ไปยังจังหวัด ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของโจทก์ และครอบครองใช้ประโยชน์รถยนต์คันพิพาทตลอดมา โจทก์ย่อมมีสิทธิครอบครองรถยนต์คันพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง

โจทก์จึงมีสิทธิใช้สอยและได้รับประโยชน์จากรถยนต์คันพิพาท มีสิทธิให้ปลดเปลื้องจากการถูกรบกวนการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายจากบุคคลใด ตามมาตรา 1374 มีสิทธิโอนสิทธิครอบครองให้บุคคลอื่นก็ได้ ตามมาตรา 1378 และอาจได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จึงเป็นที่เห็นได้ว่า หากมีวินาศภัยเกิดขึ้นแก่รถยนต์คันพิพาทในระหว่างที่อยู่ในความครอบครองของโจทก์ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหาย คือ ต้องขาดประโยชน์ในการใช้สอยรถยนต์คันพิพาทไปจากที่เคยได้รับเป็นปกติ ทั้งผู้มีสิทธิเอาประกันภัยนั้นมิได้จำกัดเพียงเฉพาะผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่เอาประกันภัยเท่านั้น ผู้ที่มีความสัมพันธ์อยู่กับทรัพย์หรือสิทธิหรือผลประโยชน์หรือรายได้ใด ๆ ซึ่งถ้ามีวินาศภัยเกิดขึ้น จะทำให้ผู้นั้นต้องเสียหาย และความเสียหายที่ผู้นั้นจะได้รับสามารถประมาณเป็นเงินได้แล้ว ผู้นั้นย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่อาจเอาประกันภัยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 โจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการยึดถือครอบครองใช้ประโยชน์จากรถยนต์คันพิพาท โจทก์จึงมีสิทธิเอาประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวไว้แก่จำเลย โดยมิต้องคำนึงถึงว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ เมื่อรถยนต์คันพิพาทที่เอาประกันภัยได้สูญหายไป โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกร้องให้จำเลยผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามสัญญาประกันภัยได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 359/2542)

ข้อสรุป
โดยหลักการแล้ว ถ้าบุคคลใดกระทำการโดยสุจริต จะได้รับการปกป้องจากกฎหมาย ถ้าผู้เอาประกันภัยสุจริตใจ เมื่อเกิดเหตุขึ้นมา บริษัทประกันภัยจำต้องรับผิดตามสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างกัน เมื่อเทียบเคียงกับบทความเรื่องที่ 44: สินค้าผิดกฎหมายทำประกันภัยได้หรือไม่? และบริษัทประกันภัยจำต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ได้หรือเปล่า? ผลสรุปที่ได้ไม่แตกต่างกัน นี่เรียกว่า คนดี พระท่านคุ้มครองตามภาษาชาวบ้านครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น