วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2558



ผู้เอาประกันภัยมิใช่ผู้เอาประกันภัย (ต่อ)

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ฝากเป็นการบ้านให้คิดว่า
1)       ลูกเป็นตัวแทนประกันภัย นำบ้านของพ่อแม่ ซึ่งยังมีชีวิตอยู่มาทำประกันอัคคีภัยบ้านอยู่อาศัย โดยระบุชื่อตนเองเป็นผู้เอาประกันภัย และชำระเบี้ยประกันภัยเองได้หรือไม่
2)       สามีนำบ้านที่เป็นสินสมรส มาทำประกันภัยเต็มมูลค่าทั้งหลัง โดยใส่ชื่อสามีเป็นผู้เอาประกันภัยคนเดียว เมื่อเกิดเหตุไฟไหม้บ้านเสียหายทั้งหลัง บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ใครบ้าง อย่างไร
3)       ลูกที่บรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ยังอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันกับพ่อแม่ พ่อและ/หรือแม่ จะมีสิทธิเอาประกันภัยทรัพย์สินของลูกคนนั้นด้วยได้หรือไม่
4)       ภรรยาที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายจะมีส่วนได้เสียเอาประกันชีวิตสามีได้หรือไม่
5)       นายจ้างจะสามารถเอาประกันชีวิตลูกจ้างได้หรือไม่

แนวทางการวิเคราะห์
1)   ก่อนอื่นคงต้องพิจารณาว่า บ้านหลังที่เอาประกันภัยเป็นของใคร หากเป็นของพ่อแม่ ก็ถือว่า พ่อแม่มีส่วนได้เสียในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่จะสามารถนำบ้านหลังนั้นมาทำประกันภัยได้ ส่วนตัวลูก แม้จะพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นหรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่พ่อแม่ยังไม่เสียชีวิต หรือได้ยกให้ในขณะยังมีชีวิตอยู่ ลูกคงมีสถานะเป็นแค่ผู้อยู่อาศัย ซึ่งเป็นส่วนได้เสียที่ไม่มีกฎหมายรองรับ จึงไม่อาจนำบ้านหลังนั้นมาทำประกันภัยได้ ผลตามมาตรา 863 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็คือ “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด” แม้สัญญาประกันภัยเกิดขึ้นมา โดยบริษัทประกันภัยตกลงรับประกันภัยเอาไว้ แต่พอเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นมา บริษัทประกันภัยอาจปฎิเสธไม่ยอมผูกพันที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ก็ได้ โดยอ้างว่า ผู้เอาประกันภัย คือ ตัวลูกมิได้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในบ้านหลังนี้
ถ้าเป็นเช่นนั้น ตัวลูกซึ่งระบุเป็นผู้เอาประกันภัยจะอ้างหลักกฎหมายเรื่องตัวการไม่เปิดเผยชื่อ (เทียบเคียงกับคำพิพากษาศาลฎีกาเลขที่ 2888/2553 ข้างต้น) มาโต้แย้งได้หรือไม่ ข้อสังเกตในคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าว คือ บริษัทประกันภัยมิได้หยิบยกเรื่องการมีส่วนได้เสียของผู้เอาประกันภัยมาโต้แย้งเลย ส่วนในกรณีของข้อนี้ หากบริษัทประกันภัยหยิบยกเรื่องส่วนได้เสียขึ้นมาต่อสู้ ผู้เอาประกันภัยคงต้องเหนื่อยล่ะครับที่จะต้องพยายามนำสืบให้ได้ว่า พ่อแม่ได้มอบหมายให้มาทำประกันภัยแทนจริงหรือไม่ เพราะถ้าพิจารณาหลักกฎหมายเรื่องตัวการไม่เปิดเผยชื่อแล้ว ตัวการต้องมีเจตนาที่จะมาทำสัญญา เพียงแต่ไม่ประสงค์จะเปิดเผยชื่อ โดยขอให้ใส่ชื่อบุคคลอื่นแทน ฉะนั้น คู่สัญญาอีกฝ่ายจำต้องรับทราบถึงวัตถุประสงค์ดังกล่าวด้วย มิใช่จะอาศัยหลักกฎหมายเรื่องนี้มาอ้างได้เสมอไป ซึ่งศาลในต่างประเทศก็มองเช่นเดียวกันดังในคดี Talbot Underwriting Ltd. v. Nausch Hogan & Murray, Jascon 5 [2005] EWHC 2359 (Comm)
ด้วยเหตุนี้ ในการวิเคราะห์เรื่องข้อพิพาทประกันภัย คงไม่อาจหลีกเลี่ยงหลักกฎหมายของสัญญาได้เลย และควรนำมาวิเคราะห์เป็นลำดับแรกด้วยซ้ำไป เพราะสัญญาประกันภัยซึ่งเป็นเอกเทศสัญญาอย่างหนึ่ง ก็จำต้องอยู่ในหลักกฎหมายของสัญญาด้วยเหมือนกันที่สรุปว่า
           -  คู่สัญญาต้องมีเจตนาอย่างแท้จริงในการทำสัญญา
           -  คู่สัญญาต้องมีความสามารถตามกฎหมาย
           -  เป็นสัญญาต่างตอบแทน            
           -  ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
ดังนั้น ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่มีเจตนาที่จะมาทำสัญญา สัญญานั้นก็มิอาจเกิดขึ้นมาได้เลย

2)   เรื่องของคู่สมรสตามกฎหมาย ทรัพย์สินที่หามาได้หลังการสมรส ถือเป็นสินสมรส หรือกรรมสิทธิ์ร่วมระหว่างคู่สมรส โดยมีสัดส่วนกันคนละครึ่ง อย่างบ้านราคาหนึ่งล้านบาท ก็จะเป็นของสามีกับภรรยาคนละห้าแสนบาท การที่สามีฝ่ายเดียวนำบ้านหลังนั้นมาทำประกันภัยเต็มมูลค่าหนึ่งล้านบาท ในแง่กฎหมาย ก็สามารถทำได้ เพราะตราบใดยังมิได้ตกลงแบ่งสมบัติกัน ยังไม่ใครสามารถตอบได้ว่า ส่วนใดของบ้านเป็นของใคร แต่ครั้นเมื่อเกิดไฟไหม้ขึ้นมาเสียหายทั้งหมด สามีซึ่งระบุเป็นผู้เอาประกันภัยจะขอรับค่าสินไหมทดแทนไปทั้งหมดคนเดียว ไม่น่าจะถูกต้อง พึงต้องมองว่า ในการทำประกันภัยนั้น ภรรยาควรรับรู้ด้วย แต่บางครั้ง จะมาระบุใส่ชื่อเป็นผู้เอาประกันภัยทั้งสามีกับภรรยา อาจไม่นิยมกระทำกัน โดยเฉพาะหากมีคู่สมรสฝ่ายเดียวเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว มักจะใส่ชื่อคู่สมรสฝ่ายนั้นเพียงผู้เดียว เพื่อความสะดวกในการชำระเบี้ยประกันภัย ดังเช่นกรณีนี้ สามีเป็นผู้ทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว จึงระบุชื่อตัวเองคนเดียวเป็นผู้เอาประกันภัย ตัวภรรยาก็อ้างหลักกฎหมายตัวการไม่เปิดเผยชื่อมาขอรับค่าสินไหมทดแทนได้ เพราะหลักกฎหมายนี้สามารถใช้บังคับกับกรณีของการเอาประกันภัยร่วมด้วย ดังในคดีต่างประเทศอ้างถึงข้างต้น

3)   ในข้อนี้กลับกันกับข้อที่หนึ่ง คือ พ่อแม่นำทรัพย์สินของลูกซึ่งบรรลุนิติภาวะตามกฎหมายแล้วมาทำประกันภัยรวมกับทรัพย์สินของพ่อแม่ด้วย โดยเฉพาะในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยบ้านที่อยู่อาศัยได้เปิดช่องเอาไว้ ซึ่งโดยหลักการแล้วคงเป็นเช่นเดียวกัน คือ ลูกที่บรรลุนิติภาวะนั้น ยินยอมเห็นชอบให้พ่อแม่กระทำเช่นนั้นได้หรือไม่ ถ้าไม่ยินยอม พ่อแม่ก็ไม่มีสิทธิ หรือส่วนได้เสียในทรัพย์สินของลูกคนดังกล่าวเลย แต่ถ้ายินยอม แม้จะใส่ชื่อพ่อเป็นผู้เอาประกันภัยคนเดียว จะเข้าหลักกฎหมายตัวการที่ไม่เปิดเผยชื่อได้เช่นเดียวกัน

4)   ในตำราหลายเล่ม ระบุว่า สามีมีส่วนได้เสียในชีวิตของภรรยา เช่นเดียวกันภรรยาก็มีส่วนได้เสียในชีวิตของสามี โดยอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 ที่บัญญัติในวรรคสองว่า “สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน” ถ้ามองในแง่ของการมีส่วนได้เสียอาจใช่ แต่ถ้าพิจารณาในหลักของสัญญาแล้ว ตัวสามี หรือภรรยาผู้ที่จะเป็นผู้เอาประกันภัยนั้น ได้ตกลงยินยอมที่จะทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทประกันภัยหรือไม่ ถ้าไม่ สัญญาก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นมาได้เลย
อนึ่ง สามีหรือภรรยาที่ไปจัดการทำประกันภัยให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง อาจเรียกว่า เป็นตัวแทนไปกระทำการแทนน่าจะชัดเจนกว่าการใช้คำว่ามีส่วนได้เสียในชีวิตของบุคคลอื่น

5)   ในข้อนี้ก็เช่นเดียวกัน นายจ้างมีส่วนได้เสียที่จะเอาประกันชีวิตลูกจ้างได้ แต่เนื่องด้วยผู้เอาประกันภัย คือ ลูกจ้าง ถ้าลูกจ้างไม่ตกลงยินยอม สัญญาประกันภัยก็จะไม่เกิด เพราะในทางปฎิบัติในลักษณะเช่นนี้เวลาออกกรมธรรม์ประกันภัย บริษัทประกันภัยจะระบุชื่อนายจ้างเป็นผู้ถือกรมธรรม์เท่านั้น ส่วนตัวผู้เอาประกันภัย คือ ลูกจ้างทั้งหลายนั่นเอง นายจ้างจึงไม่อาจถูกระบุชื่อเป็นผู้เอาประกันภัยได้เลย เพราะชีวิตลูกจ้างน่าจะไม่ใช่วัตถุที่เอาประกันภัยได้ ซึ่งเข้าใจว่า แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 64/2516 ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลักษณะนี้ น่าจะมีเจตนารมณ์ดังว่า และหลักกฎหมายของต่างประเทศในกรณีการเอาประกันชีวิตบุคคลอื่น ก็ระบุว่า ผู้ที่ถูกเอาประกันภัยต้องเห็นชอบด้วย ซึ่งตัวคนที่ไปจัดการแทนก็กลายเป็นตัวแทนตามหลักกฎหมายเรื่องตัวการตัวแทนไป

บทลงท้าย
การกระทำที่ทำให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น น่าจะเหมาะสมที่สุด ดีกว่าจะต้องมาหาทางแก้ปัญหากันภายหลัง

เรื่องต่อไป คงจะนำเรื่องระยะเวลาเอาประกันภัยของกรมธรรม์ประกันวินาศภัยกลับมาพูดถึงอีกครั้งให้ครบถ้วน
  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น