ผู้เอาประกันภัยมิใช่ผู้เอาประกันภัย (ต่อ)
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ฝากเป็นการบ้านให้คิดว่า
1)
ลูกเป็นตัวแทนประกันภัย
นำบ้านของพ่อแม่ ซึ่งยังมีชีวิตอยู่มาทำประกันอัคคีภัยบ้านอยู่อาศัย
โดยระบุชื่อตนเองเป็นผู้เอาประกันภัย และชำระเบี้ยประกันภัยเองได้หรือไม่
2)
สามีนำบ้านที่เป็นสินสมรส
มาทำประกันภัยเต็มมูลค่าทั้งหลัง โดยใส่ชื่อสามีเป็นผู้เอาประกันภัยคนเดียว
เมื่อเกิดเหตุไฟไหม้บ้านเสียหายทั้งหลัง บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ใครบ้าง
อย่างไร
3)
ลูกที่บรรลุนิติภาวะแล้ว
แต่ยังอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันกับพ่อแม่ พ่อและ/หรือแม่ จะมีสิทธิเอาประกันภัยทรัพย์สินของลูกคนนั้นด้วยได้หรือไม่
4)
ภรรยาที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายจะมีส่วนได้เสียเอาประกันชีวิตสามีได้หรือไม่
5)
นายจ้างจะสามารถเอาประกันชีวิตลูกจ้างได้หรือไม่
แนวทางการวิเคราะห์
1) ก่อนอื่นคงต้องพิจารณาว่า
บ้านหลังที่เอาประกันภัยเป็นของใคร หากเป็นของพ่อแม่ ก็ถือว่า
พ่อแม่มีส่วนได้เสียในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่จะสามารถนำบ้านหลังนั้นมาทำประกันภัยได้
ส่วนตัวลูก แม้จะพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นหรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่พ่อแม่ยังไม่เสียชีวิต
หรือได้ยกให้ในขณะยังมีชีวิตอยู่ ลูกคงมีสถานะเป็นแค่ผู้อยู่อาศัย
ซึ่งเป็นส่วนได้เสียที่ไม่มีกฎหมายรองรับ จึงไม่อาจนำบ้านหลังนั้นมาทำประกันภัยได้
ผลตามมาตรา 863 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็คือ “อันสัญญาประกันภัยนั้น
ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้
ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด” แม้สัญญาประกันภัยเกิดขึ้นมา
โดยบริษัทประกันภัยตกลงรับประกันภัยเอาไว้ แต่พอเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นมา
บริษัทประกันภัยอาจปฎิเสธไม่ยอมผูกพันที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ก็ได้ โดยอ้างว่า
ผู้เอาประกันภัย คือ ตัวลูกมิได้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในบ้านหลังนี้
ถ้าเป็นเช่นนั้น ตัวลูกซึ่งระบุเป็นผู้เอาประกันภัยจะอ้างหลักกฎหมายเรื่องตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
(เทียบเคียงกับคำพิพากษาศาลฎีกาเลขที่ 2888/2553 ข้างต้น)
มาโต้แย้งได้หรือไม่ ข้อสังเกตในคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าว คือ
บริษัทประกันภัยมิได้หยิบยกเรื่องการมีส่วนได้เสียของผู้เอาประกันภัยมาโต้แย้งเลย
ส่วนในกรณีของข้อนี้ หากบริษัทประกันภัยหยิบยกเรื่องส่วนได้เสียขึ้นมาต่อสู้
ผู้เอาประกันภัยคงต้องเหนื่อยล่ะครับที่จะต้องพยายามนำสืบให้ได้ว่า
พ่อแม่ได้มอบหมายให้มาทำประกันภัยแทนจริงหรือไม่ เพราะถ้าพิจารณาหลักกฎหมายเรื่องตัวการไม่เปิดเผยชื่อแล้ว
ตัวการต้องมีเจตนาที่จะมาทำสัญญา เพียงแต่ไม่ประสงค์จะเปิดเผยชื่อ
โดยขอให้ใส่ชื่อบุคคลอื่นแทน ฉะนั้น คู่สัญญาอีกฝ่ายจำต้องรับทราบถึงวัตถุประสงค์ดังกล่าวด้วย
มิใช่จะอาศัยหลักกฎหมายเรื่องนี้มาอ้างได้เสมอไป ซึ่งศาลในต่างประเทศก็มองเช่นเดียวกันดังในคดี
Talbot
Underwriting Ltd. v. Nausch Hogan & Murray, Jascon 5 [2005] EWHC 2359
(Comm)
ด้วยเหตุนี้
ในการวิเคราะห์เรื่องข้อพิพาทประกันภัย คงไม่อาจหลีกเลี่ยงหลักกฎหมายของสัญญาได้เลย
และควรนำมาวิเคราะห์เป็นลำดับแรกด้วยซ้ำไป
เพราะสัญญาประกันภัยซึ่งเป็นเอกเทศสัญญาอย่างหนึ่ง ก็จำต้องอยู่ในหลักกฎหมายของสัญญาด้วยเหมือนกันที่สรุปว่า
- คู่สัญญาต้องมีเจตนาอย่างแท้จริงในการทำสัญญา
-
คู่สัญญาต้องมีความสามารถตามกฎหมาย
- เป็นสัญญาต่างตอบแทน
- ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
ดังนั้น
ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่มีเจตนาที่จะมาทำสัญญา
สัญญานั้นก็มิอาจเกิดขึ้นมาได้เลย
2) เรื่องของคู่สมรสตามกฎหมาย
ทรัพย์สินที่หามาได้หลังการสมรส ถือเป็นสินสมรส หรือกรรมสิทธิ์ร่วมระหว่างคู่สมรส
โดยมีสัดส่วนกันคนละครึ่ง อย่างบ้านราคาหนึ่งล้านบาท
ก็จะเป็นของสามีกับภรรยาคนละห้าแสนบาท
การที่สามีฝ่ายเดียวนำบ้านหลังนั้นมาทำประกันภัยเต็มมูลค่าหนึ่งล้านบาท
ในแง่กฎหมาย ก็สามารถทำได้ เพราะตราบใดยังมิได้ตกลงแบ่งสมบัติกัน
ยังไม่ใครสามารถตอบได้ว่า ส่วนใดของบ้านเป็นของใคร
แต่ครั้นเมื่อเกิดไฟไหม้ขึ้นมาเสียหายทั้งหมด
สามีซึ่งระบุเป็นผู้เอาประกันภัยจะขอรับค่าสินไหมทดแทนไปทั้งหมดคนเดียว
ไม่น่าจะถูกต้อง พึงต้องมองว่า ในการทำประกันภัยนั้น ภรรยาควรรับรู้ด้วย
แต่บางครั้ง จะมาระบุใส่ชื่อเป็นผู้เอาประกันภัยทั้งสามีกับภรรยา
อาจไม่นิยมกระทำกัน โดยเฉพาะหากมีคู่สมรสฝ่ายเดียวเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว
มักจะใส่ชื่อคู่สมรสฝ่ายนั้นเพียงผู้เดียว เพื่อความสะดวกในการชำระเบี้ยประกันภัย
ดังเช่นกรณีนี้ สามีเป็นผู้ทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว
จึงระบุชื่อตัวเองคนเดียวเป็นผู้เอาประกันภัย ตัวภรรยาก็อ้างหลักกฎหมายตัวการไม่เปิดเผยชื่อมาขอรับค่าสินไหมทดแทนได้
เพราะหลักกฎหมายนี้สามารถใช้บังคับกับกรณีของการเอาประกันภัยร่วมด้วย
ดังในคดีต่างประเทศอ้างถึงข้างต้น
3) ในข้อนี้กลับกันกับข้อที่หนึ่ง
คือ
พ่อแม่นำทรัพย์สินของลูกซึ่งบรรลุนิติภาวะตามกฎหมายแล้วมาทำประกันภัยรวมกับทรัพย์สินของพ่อแม่ด้วย
โดยเฉพาะในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยบ้านที่อยู่อาศัยได้เปิดช่องเอาไว้ ซึ่งโดยหลักการแล้วคงเป็นเช่นเดียวกัน
คือ ลูกที่บรรลุนิติภาวะนั้น ยินยอมเห็นชอบให้พ่อแม่กระทำเช่นนั้นได้หรือไม่
ถ้าไม่ยินยอม พ่อแม่ก็ไม่มีสิทธิ หรือส่วนได้เสียในทรัพย์สินของลูกคนดังกล่าวเลย
แต่ถ้ายินยอม แม้จะใส่ชื่อพ่อเป็นผู้เอาประกันภัยคนเดียว
จะเข้าหลักกฎหมายตัวการที่ไม่เปิดเผยชื่อได้เช่นเดียวกัน
4) ในตำราหลายเล่ม ระบุว่า
สามีมีส่วนได้เสียในชีวิตของภรรยา เช่นเดียวกันภรรยาก็มีส่วนได้เสียในชีวิตของสามี
โดยอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 ที่บัญญัติในวรรคสองว่า
“สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน”
ถ้ามองในแง่ของการมีส่วนได้เสียอาจใช่ แต่ถ้าพิจารณาในหลักของสัญญาแล้ว ตัวสามี
หรือภรรยาผู้ที่จะเป็นผู้เอาประกันภัยนั้น ได้ตกลงยินยอมที่จะทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทประกันภัยหรือไม่
ถ้าไม่ สัญญาก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นมาได้เลย
อนึ่ง
สามีหรือภรรยาที่ไปจัดการทำประกันภัยให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง อาจเรียกว่า
เป็นตัวแทนไปกระทำการแทนน่าจะชัดเจนกว่าการใช้คำว่ามีส่วนได้เสียในชีวิตของบุคคลอื่น
5) ในข้อนี้ก็เช่นเดียวกัน
นายจ้างมีส่วนได้เสียที่จะเอาประกันชีวิตลูกจ้างได้ แต่เนื่องด้วยผู้เอาประกันภัย
คือ ลูกจ้าง ถ้าลูกจ้างไม่ตกลงยินยอม สัญญาประกันภัยก็จะไม่เกิด เพราะในทางปฎิบัติในลักษณะเช่นนี้เวลาออกกรมธรรม์ประกันภัย
บริษัทประกันภัยจะระบุชื่อนายจ้างเป็นผู้ถือกรมธรรม์เท่านั้น
ส่วนตัวผู้เอาประกันภัย คือ ลูกจ้างทั้งหลายนั่นเอง
นายจ้างจึงไม่อาจถูกระบุชื่อเป็นผู้เอาประกันภัยได้เลย เพราะชีวิตลูกจ้างน่าจะไม่ใช่วัตถุที่เอาประกันภัยได้
ซึ่งเข้าใจว่า แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 64/2516 ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลักษณะนี้
น่าจะมีเจตนารมณ์ดังว่า
และหลักกฎหมายของต่างประเทศในกรณีการเอาประกันชีวิตบุคคลอื่น ก็ระบุว่า ผู้ที่ถูกเอาประกันภัยต้องเห็นชอบด้วย
ซึ่งตัวคนที่ไปจัดการแทนก็กลายเป็นตัวแทนตามหลักกฎหมายเรื่องตัวการตัวแทนไป
บทลงท้าย
การกระทำที่ทำให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น
น่าจะเหมาะสมที่สุด ดีกว่าจะต้องมาหาทางแก้ปัญหากันภายหลัง
เรื่องต่อไป
คงจะนำเรื่องระยะเวลาเอาประกันภัยของกรมธรรม์ประกันวินาศภัยกลับมาพูดถึงอีกครั้งให้ครบถ้วน