วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2566

เรื่องที่ 194 : ผู้รับเหมาช่วง (Subcontractor) ซึ่งถูกว่าจ้างโดยตรงจากผู้ว่าจ้างเอง ถือเป็นผู้เอาประกันภัยร่วมภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยการปฏิบัติงานตามสัญญาว่าจ้าง (Contract Works Insurance Policy) ได้หรือไม่?

 

(ตอนที่หนึ่ง)

 

เป็นที่รับรู้ และเข้าใจกันโดยหลักการทั่วไป

 

คำว่า “สัญญาว่าจ้าง (Contract Work)” ในที่นี้ จะหมายความถึง สัญญาจ้างทำของระหว่างผู้ว่าจ้าง หรือบางครั้งเรียกว่า “เจ้าของโครงการ (Principal)” กับผู้รับจ้าง หรือบางครั้งเรียกว่า “ผู้รับเหมาหลัก (Contractor or Main Contractor)

 

ส่วนผู้รับเหมาหลักนั้นจะทำงานที่ถูกว่าจ้างมานั้นเองทั้งหมด หรือจะแบ่งงานบางส่วนไปให้แก่ผู้รับเหมารายย่อยอื่น ๆ ก็ได้ ซึ่งจะเรียกว่า “ผู้รับเหมาช่วง (Subcontractor)” โดยมีสถานะเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของผู้รับเหมาหลักนั่นเอง

 

ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความรวมไปถึงผู้รับเหมารายอื่น ๆ ซึ่งผู้ว่าจ้างไปจัดทำสัญญาว่าจ้างงานอื่นอีกต่างหาก และจะต้องไปจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองแยกต่างหากจากกันออกไปอีกด้วย   

 

สัญญาจ้างทำของ ในที่นี้ ก็คือ งานว่าจ้างให้ก่อสร้างอาคารสิ่งปลูกสร้าง และ/หรือให้ติดตั้งเครื่องจักร หรืออุปกรณ์ แล้วแต่กรณี โดยมีจุดประสงค์มุ่งเน้นที่ความสำเร็จของงานที่ถูกว่าจ้างนั้นเป็นสำคัญ โดยผู้รับจ้างจะต้องจัดดำเนินการให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ เพื่อสามารถส่งมอบให้เป็นทรัพย์สินถาวร (permanent work) ของผู้ว่าจ้างต่อไป

 

ในทางปฏิบัติ เวลาจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยประเภทนี้ บริษัทประกันภัยจะกำหนดรายการผู้เอาประกันภัยดังต่อไปนี้ลงไว้ในหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัย  

 

ก) ผู้เอาประกันภัยหลักที่ระบุชื่อ (Named Insured)

 

อันประกอบด้วยผู้เอาประกันภัยร่วมสองฝ่าย ได้แก่ ผู้ว่าจ้าง (ฝ่ายหนึ่ง) และ/หรือผู้รับจ้าง หรือในที่นี้ คือ ผู้รับเหมาหลัก (อีกฝ่ายหนึ่ง)

 

ข) ผู้เอาประกันภัยรองที่ไม่ระบุชื่อ (Unnamed Insured)

 

ในที่นี้ คือ ผู้รับเหมาช่วงของผู้รับเหมาหลัก สาเหตุที่ไม่จำต้องระบุชื่อกำกับไว้ เพราะ ณ เวลาจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยอาจไม่รับทราบได้ว่า ผู้รับเหมาหลักจะไปช่วงงานต่อให้ใครบ้าง?

 

ทั้งหมดถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะเอาประกันภัยร่วมกันได้ อันจะได้รับความคุ้มครองร่วมกันด้วย ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับเดียวกันนี้เอง

 

นั่นคือ สิ่งที่รับรู้ และเข้าใจกันมาตลอด

 

จวบจนกระทั่งได้มีเรื่องมีราวดังต่อไปนี้บังเกิดขึ้น

 

ประมาณเดือนเมษายน ค.ศ. 2016 บ้านหลังหนึ่งของโครงการก่อสร้างหมูบ้าน ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงการก่อสร้างโดยผู้รับเหมาหลักอยู่ ได้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้สร้างความเสียหายขึ้นมา เมื่อผู้รับเหมาหลักได้รับการชดใช้ สำหรับความเสียหายดังกล่าวจากบริษัทประกันภัยผู้ให้ความคุ้มครองแก่โครงการนี้แล้ว บริษัทประกันภัยแห่งนั้นก็ได้รับช่วงสิทธิไปไล่เบี้ยเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนที่ตนได้จ่ายไปแล้วนั้น กลับคืนจากผู้ก่อให้เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ ในที่นี้ สืบพบว่า เป็นผู้รับเหมาอีกเจ้าหนึ่งซึ่งถูกว่าจ้างมาโดยตรงแยกต่างหาก เพื่อให้ทำงานทาสีบ้านหลังที่เกิดเหตุ โดยปราศจากความเกี่ยวข้อง หรือมีนิติสัมพันธ์กับผู้รับเหมาหลักรายนี้แต่ประการใด

 

ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทขึ้นสู่ศาล เพื่อวินิจฉัยชี้ขาด ดังนี้

 

1) ผู้รับเหมาทาสีบ้านหลังที่เกิดเหตุควรจะได้รับความคุ้มครอง ในฐานะผู้รับเหมาช่วงที่ไม่ระบุชื่อได้หรือไม่?  

 

2) บริษัทประกันภัยแห่งนั้นสามารถรับช่วงสิทธิไปไล่เบี้ยแก่ผู้รับเหมาทาสีบ้านหลังที่เกิดเหตุ ในฐานะบุคคลภายนอกผู้กระทำผิดได้หรือไม่?  

ขอฝากเป็นการบ้านทิ้งไว้ และคอยพบคำตอบในปีหน้านะครับ

 

ช่วงเทศกาลแห่งความสุขระยะเวลานี้ เชื่อว่า ทุกท่านล้วนต่างกำลังเฉลิมฉลอง และพักผ่อนให้ความสุขแก่ตนเอง บุคคลในครอบครัว และผู้ที่อยู่รอบตัวอยู่นะครับ

 

ฉะนั้น ผมขอถือโอกาสในวาระช่วงนี้ ขออวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านมีแต่ความสุข ความเจริญ สุขภาพแข็งแรง และเดินทางด้วยความปลอดภัยกันถ้วนทั่วด้วยนะครับ

 

ขอบพระคุณที่ติดตามอ่านครับ

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/  

 

 

วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2566

เรื่องที่ 193 : ป้ายทะเบียนรถมีปัญหา?

 

(ตอนที่สอง)

 

ตามหลักกฎหมายต่างประเทศซึ่งมีผลใช้บังคับเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทเรื่องนี้บัญญัติว่า รถที่นำมาใช้บนท้องถนนจะต้องจดทะเบียน และติดแผ่นป้ายทะเบียนให้ถูกต้องตามประเภท และเฉพาะกับรถคันนั้นเท่านั้น ขณะที่ป้ายทะเบียนรถยนต์ชั่วคราวที่มีไว้เพื่อขาย สำหรับตัวแทนจำหน่าย (หรือบ้านเรารู้จักในชื่อป้ายแดง) สามารถนำไปติดกับรถจำพวกเช่นว่านั้นหลายคันก็ได้ เช่นเดียวกับเรื่องการจัดทำประกันภัยก็จะต้องกระทำให้ถูกต้องตามประเภท และตามทะเบียนของรถเหล่านั้นด้วยถึงจะได้รับความคุ้มครอง

 

อนึ่ง กฎหมายที่เกี่ยวข้องยังบัญญัติเพิ่มเติมอีกว่า “ห้ามมิให้บุคคลติดแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ชั่วคราวที่มีไว้เพื่อขาย สำหรับตัวแทนจำหน่าย (Dealer’s Plate) กับรถยนต์คันใด นอกเหนือจากเป็นรถยนต์คันที่

 

(ก) เพื่อรอการขายโดยตัวแทนจำหน่าย หรือ

(ข) ใช้เพื่อส่งเสริมการขายโดยตัวแทนจำหน่าย หรือ

(ค) อยู่ในการดูแลรักษา และการควบคุมของตัวแทนจำหน่าย เพื่อทำการทดสอบ หรือการให้บริการ หรือเพื่อนำรถยนต์คันนั้นจากที่แห่งหนึ่งไปสู่ที่อีกแห่งหนึ่ง โดยมีจุดประสงค์เกี่ยวข้องกับการทดสอบ หรือการให้บริการนั้นเอง

 

หากโจทก์สามารถพิสูจน์ให้ศาลรับฟังได้ตามหลักเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่ง หรือหลายข้อดังกล่าว จะถือได้ว่า รถยนต์คันนั้นได้ทำประกันภัยไว้อย่างถูกต้องอันจะส่งผลทำให้มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครอง

 

ฉะนั้น ประเด็นแรก ป้ายทะเบียนรถได้ถูกติดอย่างถูกต้อง อันจะส่งผลทำให้บริษัทประกันภัยจำเลยควรให้ความคุ้มครองหรือไม่?

 

ศาลได้พิเคราะห์พยานหลักฐานต่าง ๆ ของคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้ว มีความเห็น ดังนี้

 

(ก) เป็นรถยนต์คันที่รอการขายโดยตัวแทนจำหน่ายหรือเปล่า?

 

อันที่จริงแล้ว ผู้ใช้รถทั้งสองรายซึ่งเป็นโจทก์ร่วมนำคดีขึ้นสู่ศาลนั้น มีความสัมพันธ์เป็นสามีภรรยากัน โดยสามีเป็นตัวแทนจำหน่ายรถ (โจทก์ที่ 1) และได้ขายต่อให้ภรรยา (โจทก์ที่ 2) แต่ภายหลังได้มีการเปลี่ยนใจ ภรรยาจึงได้นำฝากให้สามีช่วยขายให้อีกทอดหนึ่ง ในลักษณะการขายฝาก

 

ณ วันที่เกิดเหตุ สามีได้ขับรถคันดังกล่าวพาภรรยากับลูกไปยังฟาร์มที่เกิดเหตุ เพื่อร่วมงานสังสรรค์ระหว่างญาติพี่น้อง ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงครึ่ง และสุดท้าย โจทก์ร่วมยอมรับว่า เป็นการใช้รถยนต์คันนั้นด้วยจุดประสงค์ส่วนตัว มิใช่ในฐานะตัวแทนจำหน่าย ถึงแม้นจะมีความตั้งใจที่จะขายรถยนต์คันนั้นออกไปก็ตามก่อนหน้าวันที่เกิดเหตุ

 

ฉะนั้น แผ่นป้ายทะเบียนชั่วคราว เพื่อรอการขายนั้น จึงไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงที่ควรจะเป็น ณ วันที่เกิดเหตุ

 

(ข) ใช้เพื่อส่งเสริมการขายโดยตัวแทนจำหน่ายหรือเปล่า?

  

ก่อนหน้าวันที่เกิดเหตุ สามีได้รถพ่วงหนึ่งคัน และได้ขับรถบรรทุกคันพิพาทลากรถพ่วงคันนั้นไปจอดทิ้งไว้ที่ฟาร์มที่เกิดเหตุ โดยแจ้งประกาศขายตัวรถพ่วงคันนั้นไว้ทางออนไลน์ด้วย

 

การที่ขับรถบรรทุกคันพิพาทไปสู่ฟาร์มนั้น ณ วันที่เกิดเหตุ มีอีกจุดประสงค์ก็คือ เพื่อลากรถพ่วงคันนั้นกลับมา เนื่องด้วยมีผู้สนใจจะซื้อ ซึ่งศาลเชื่อ และรับฟังได้ว่า รถบรรทุกคันพิพาทนั้นเข้าหลักเกณฑ์เป็นการใช้งานเพื่อส่งเสริมการขาย แม้นจะเป็นการส่งเสริมการขายรถพ่วง มิใช่การขายรถบรรทุกคันพิพาทก็ตาม เพราะข้อกฎหมายดังกล่าวได้เขียนลอย ๆ ว่า เพื่อส่งเสริมการขาย จึงต้องแปลความหมายอย่างกว้าง ไม่จำกัดเพียงเฉพาะการส่งเสริมการขายของรถยนต์คันที่ติดแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ชั่วคราวที่มีไว้เพื่อขายเท่านั้น

 

กรณีข้อนี้จึงเป็นการติดแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ถูกต้องแล้ว ณ วันที่เกิดเหตุ

 

(ค) อยู่ในการดูแลรักษา และการควบคุมของตัวแทนจำหน่าย เพื่อทำการทดสอบ หรือการให้บริการ หรือเพื่อนำรถยนต์คันนั้นจากที่แห่งหนึ่งไปสู่ที่อีกแห่งหนึ่ง โดยมีจุดประสงค์เกี่ยวข้องกับการทดสอบ หรือการให้บริการนั้นเองหรือเปล่า?

 

สามีกล่าวอ้างเพิ่มเติมด้วยว่า ได้ขับรถบรรทุกคันพิพาทไปสู่ฟาร์มนั้น ณ วันที่เกิดเหตุ เพื่อทำการเปลี่ยนลูกหมากคันชัก (tie rod end) ซึ่งชำรุด มิฉะนั้นจะเป็นปัญหาไม่ผ่านการตรวจรับรองความปลอดภัยตามกฎหมาย

 

คำกล่าวอ้างนี้ไม่มีเหตุผลรองรับเพียงพอ เพราะจะไปซ่อมที่แห่งใดก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องเสียเวลาเดินทางนับหลายชั่วโมง เพียงเพื่อจะไปเปลี่ยนอะไหล่นั้น ณ ฟาร์มที่เกิดเหตุ ศาลจึงเชื่อว่า เป็นการขับขี่ไปเพื่อจุดประสงค์ส่วนตัวมากกว่า ด้วยเหตุนี้ กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ข้อนี้

 

ดังนั้น กรณีอุบัติที่เกิดขึ้นของคดีนี้เข้าหลักเกณฑ์ดังกล่าวตามกฎหมายเพียงข้อเดียวเท่านั้น คือ เพื่อส่งเสริมการขาย อันส่งผลทำให้ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท

 

ประเด็นที่สอง ถ้าจะคุ้มครอง ควรคุ้มครองเป็นจำนวนเงินเท่าใด?

 

สามีโจทก์ที่หนึ่ง แรกเริ่มได้ทำการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนต่อบริษัทประกันภัยจำเลยเพียงลำพัง ทั้งที่ตนไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ในรถบรรทุกคันพิพาทอีกต่อไปแล้ว มีสถานะเป็นเพียงผู้รับฝากขายเท่านั้น ณ เวลาที่เกิดเหตุ เพราะตนได้ขายไปให้แก่ภรรยาโจทก์ที่สองไปแล้ว แต่ต่อมา ได้มีการระบุชื่อภรรยาเจ้าของกรรมสิทธิ์ตัวจริงเพิ่มเติมเข้ามา

 

ฉะนั้น ผู้มีสิทธิที่จะได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจะมีเพียงภรรยาโจทก์ที่สองเท่านั้น ซึ่งจะได้รับชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง คำนวณออกมาได้ 25,000 ดอลลาร์แคนาดา เมื่อหักค่าเสียหายส่วนแรก 200 ดอลลาร์แคนาดากับค่าซากทรัพย์ 450 ดอลลาร์แคนาดาออกไปแล้ว จะคงเหลือค่าสินไหมทดแทนที่จะต้องชดใช้ให้ทั้งสิ้น 24,350 ดอลลาร์แคนาดา

 

ส่วนค่าเสียหายอื่น ๆ เป็นต้นว่า ค่าสูญเสียกำไรจากการขาย 6,550 ดอลลาร์แคนาดา ค่าสูญเสียรายได้ 32,095 ดอลลาร์แคนาดา และค่าลากรถ 5,140 ดอลลาร์แคนาดานั้น จะไม่ได้รับความคุ้มครอง อีกทั้งความเป็นจริง ค่าเสียหายเหล่านี้เกิดขึ้นแก่ตัวสามีโจทก์ที่หนึ่งมากกว่า

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี William Frank Ralph O/A Motorwerks et al. v. The Manitoba Public Insurance Corporation, 2023 MBKB 116)

 

ข้อสังเกต

 

คุณคิดว่า ประเด็นลักษณะเช่นว่านี้ จะมีโอกาสบังเกิดขึ้นที่บ้านเราได้บ้างหรือเปล่าครับ?

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/