วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2566

เรื่องที่ 184 : อีกเรื่องชวนปวดหัวในการตีความหลักสาเหตุใกล้ชิด (Proximate Cause) สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยหม้อกำเนิดไอน้ำ และภาชนะรับแรงดัน (Boiler & Pressure Vessel Insurance Policy)?

 

(ตอนที่สอง)

 

ขอกล่าวทบทวน และขยายความเพิ่มเติมเรื่องราวตัวอย่างคดีศึกษานี้นะครับ

 

ผู้เอาประกันภัยรายนี้ประกอบกิจการขายส่งเสื้อผ้าในเมืองแห่งหนึ่ง ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องด้วยตัวเสื้อผ้าเองมีความเสี่ยงภัยจากไฟไหม้ ผู้เอาประกันภัยรายนี้จึงได้ทำการติดตั้งระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติ (automatic sprinkler system) เผื่อไว้หลายจุดภายในอาคาร รวมถึงชั้นใต้ดินซึ่งมีหม้อกำเนิดไอน้ำตั้งอยู่ด้วย

 

ผู้เอาประกันภัยรายนี้ได้จัดทำการประกันภัยทรัพย์สินทั่วไปคุ้มครองทรัพย์สินทั้งหมดของตนเองหนึ่งฉบับ และรวมทั้งกรมธรรม์ประกันภัยหม้อกำเนิดไอน้ำ และภาชนะรับแรงดันเสริมเพิ่มเติมอีกหนึ่งฉบับ โดยที่กรมธรรม์ประกันภัยฉบับหลังนี้ระบุเงื่อนไขความคุ้มครองเอาไว้ว่า

 

คุ้มครองความสูญเสีย หรือความเสียหายที่บังเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน (immediate) แก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยของผู้เอาประกันภัย หรือของบุคคลอื่นซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของผู้เอาประกันภัย อันมีสาเหตุมาจากการระเบิด (explosion) การยุบแฟบ (collapse) หรือการแตกตัว (rupture) ยกเว้นไฟไหม้ ของหม้อกำเนิดไอน้ำที่เอาประกันภัย ณ สถานที่เอาประกันภัย

 

ในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1902 ซึ่งอยู่ในช่วงระยะเวลาความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท หม้อกำเนิดไอน้ำดังกล่าวได้เกิดระเบิดขึ้นมาโดยอุบัติเหตุ และได้พ่นกระจายน้ำร้อนออกมาจำนวนมาก สร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยบริเวณนั้น ถัดจากนั้นแทบจะทันที ไอความร้อนเหล่านั้นก็ได้ส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องจนทำให้ระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติที่ถูกติดตั้ง ณ จุดนั้นทำงานขึ้นมา ด้วยการพ่นกระจายน้ำออกมาสร้างความเสียหายเพิ่มเติมขึ้นมาอีก ประเมินมูลค่าความเสียหายรวม โดยเฉพาะในส่วนของสต็อกสินค้าที่เอาประกันภัยเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 2,140.85 ดอลลาร์สหรัฐ (ค่าเงินในสมัยนั้น) ทั้งนี้ สามารถคำนวณจำแนกมูลค่าความเสียหายจากภัยหม้อกำเนิดไอน้ำระเบิดกับภัยเปียกน้ำจากระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติได้อย่างละครึ่ง

 

เมื่อเหตุการณ์แห่งความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ถูกรายงานให้บริษัทประกันภัยรับทราบ บริษัทประกันภัยนั้นยอมรับผิดชอบเฉพาะความเสียหายซึ่งมีสาเหตุโดยตรงจากภัยการระเบิดของหม้อกำเนิดไอน้ำเท่านั้น แต่ตอบปฏิเสธในส่วนความเสียหายของภัยเปียกน้ำจากระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติ

 

ผู้เอาประกันภัยรายนี้จึงได้นำคดีขึ้นสู่ศาล โดยมีประเด็นข้อพิพาทโต้แย้งระหว่างคู่สัญญาประกันภัยนี้ว่า

 

(1) มีเหตุการณ์ความเสียหาย (Loss Occurrence) หนึ่งครั้ง ในลักษณะเป็นสาเหตุใกล้ชิดอย่างต่อเนื่องกันจากสาเหตุการระเบิดของหม้อกำเนิดไอน้ำเพียงเหตุการณ์เดียวเท่านั้นใช่หรือไม่? หรือ

 

(2) มีเหตุการณ์ความเสียหาย (Loss Occurrence) สองครั้ง จากสาเหตุการระเบิดของหม้อกำเนิดไอน้ำ เป็นเหตุการณ์แรก และจากสาเหตุการเปียกน้ำเนื่องจากระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติ เป็นเหตุการณ์ที่สองใช่หรือเปล่า?

 

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยสนับสนุนฝ่ายโจทก์ผู้เอาประกันภัยว่า ความเสียหายจากภัยเปียกน้ำนั้นเป็นสาเหตุใกล้ชิดต่อเนื่องมาจากภัยการระเบิดของหม้อกำเนิดไอน้ำ หรืออีกนัยหนึ่ง คือ มีเหตุการณ์ความเสียหายเกิดขึ้นเพียงเหตุการณ์เดียวเท่านั้น

 

ฝ่ายจำเลยบริษัทประกันภัยร้องอุทธรณ์คัดค้าน

 

ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วมีความเห็นว่า

 

ข้อกล่าวอ้างที่เป็นเหตุการณ์ความเสียหายหนึ่งเดียวกันของฝ่ายโจทก์ผู้เอาประกันภัยนั้น ได้มีการหยิบยกเหตุผลประกอบมาอ้างอิงว่า

 

(1) เสื้อผ้ามีความเสี่ยงภัยจากไฟไหม้ ทำให้เป็นปกติธรรมดาของผู้ประกอบธุรกิจนี้จะต้องทำการติดตั้งระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติ เพื่อป้องกันเหตุจากภัยไฟไหม้ ตลอดจนอาจรวมไปถึงเหตุจากภัยระเบิดของหม้อกำเนิดไอน้ำด้วย

 

(2) ฝ่ายจำเลยบริษัทประกันภัยเองก็ตระหนักรับรู้ถึงการติดตั้งหม้อกำเนิดไอน้ำเหล่านี้อยู่แล้วตั้งแต่เวลาตกลงรับประกันภัย อีกทั้งยังมีส่วนลดค่าเบี้ยประกันภัยให้ด้วย  

 

ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย เนื่องจาก

 

(1) ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนในการประกอบธุรกิจเสื้อผ้าตามปกติทั่วไปจะมีหลักเกณฑ์ หรือแนวปฏิบัติที่จะต้องติดตั้งระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติกันทุกแห่งหน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวแต่ละรายมากกว่า

 

อนึ่ง เวลามีเหตุไฟไหม้เกิดขึ้น จะต้องอาศัยน้ำเข้ามาทำการดับไฟ กรณีนี้ ภัยจากการเปียกน้ำที่ดับไฟถือเป็นสิ่งปกติวิสัยที่จะต้องกระทำโดยทั่วไป ด้วยเหตุนี้ จึงนับภัยจากการเปียกน้ำดังกล่าวถือรวมเป็นเหตุการณ์เดียวกับภัยจากไฟไหม้ในลักษณะที่เป็นสาเหตุใกล้ชิดต่อเนื่องกันไป ฉะนั้น ก็หมายความรวมถึงน้ำที่มาจากระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติด้วยเช่นเดียวกัน

 

(2) แต่สำหรับกรณีภัยระเบิดของหม้อกำเนิดไอน้ำแล้ว ไม่ใช่จุดประสงค์หลักตามปกติทั่วไปในการติดตั้งระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติ ดังนั้น จะถือว่า การรับรู้ถึงการมีอยู่ของหม้อกำเนิดไอน้ำดังกล่าว แล้วจะหมายความว่า เจตนารมณ์ของบริษัทประกันภัยนั้นจะสามารถคาดหมายได้เองถึงผลกระทบของภัยระเบิดของหม้อกำเนิดไอน้ำที่จะส่งผลอย่างต่อเนื่องได้เช่นนั้นตามปกติวิสัยทั่วไป คงไม่ได้ จำต้องมีการเจรจาตกลงกันเพิ่มเติมลงไประหว่างคู่สัญญาประกันภัย เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนกันทั้งสองฝ่าย ในลักษณะเป็นเหตุการณ์พิเศษเพิ่มเติมต่างหากอีกกรณีหนึ่ง

 

ส่วนกรณีส่วนลดค่าเบี้ยประกันภัยของการติดตั้งระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัตินั้นก็เช่นเดียวกัน ไม่น่าจะหมายความรวมถึงภัยระเบิดของหม้อกำเนิดไอน้ำด้วยเหตุผลเช่นเดียวกัน

 

จากเหตุผลข้างต้น ศาลอุทธรณ์จึงวินิจฉัยกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ฝ่ายจำเลยบริษัทประกันภัยไม่จำต้องรับผิดในส่วนความเสียหายที่มาจากสาเหตุการเปียกน้ำเนื่องจากระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติ  

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Hartford Steam Boiler Inspection and Insurance Co. v. Henry Sonneborn & Co., 96 Md. 616, 54 A. 610 (1903)) 

 

หมายเหตุ

 

เมื่อเปรียบเทียบกับตัวอย่างคดีศึกษาในเรื่องที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่งมีคำพิพากษาออกมา กับตัวอย่างคดีศึกษาในเรื่องนี้ ซึ่งมีช่วงเวลาห่างกันย้อนหลังไปนับร้อยกว่าปี แต่เชื่อว่า แม้จะดูเก่าไปหน่อย ครั้นเมื่อพิจารณาด้วยเหตุผลแล้ว ก็สมเหตุผลดีนะครับ และน่าจะนำมาปรับใช้กับกรมธรรม์ประกันภัยบ้านเราได้

 

สิ่งที่น่าคิดต่อ

 

เนื่องจากตัวอย่างศึกษานี้มิได้มีข้อมูลเอ่ยถึงว่า เมื่อผู้เอาประกันภัยรายนี้ไม่ได้รับความคุ้มครองในส่วนของกรมธรรม์ประกันภัยหม้อกำเนิดไอน้ำ และภาชนะรับแรงดันจากภัยเปียกน้ำเนื่องจากระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติ เขาจะสามารถนำไปเรียกร้องภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินหลักที่มีอยู่ได้หรือเปล่า?

 

คุณคิดว่าอย่างไรบ้างครับ?

 

สมมุติ เขามีกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (IAR) อยู่ ซึ่งเรารับรู้ว่า ไม่คุ้มครองเรื่องของหม้อกำเนิดไอน้ำ (boiler) ภาชนะรับแรงดัน (ถังเก็บความดัน/ถังอัดความดัน) (pressure vessel) พร้อมอุปกรณ์ ทั้งในกรณีที่เป็นสาเหตุที่ถูกยกเว้น และทรัพย์สินที่ถูกยกเว้นเอาไว้

 

ผมขอตั้งข้อสังเกตไว้ ดังนี้

 

หากเราขยายหม้อกำเนิดไอน้ำ และภาชนะรับแรงดันให้เป็นทรัพย์สินที่เอาประกันภัยแล้ว

 

เรายังสมควรจะต้องไป

 

ก) เลือกซื้อกรมธรรม์ประกันภัยหม้อกำเนิดไอน้ำ และภาชนะรับแรงดันเพิ่มเติมอีกหนึ่งฉบับ หรือ

 

ข) เลือกขยายขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมในลักษณะที่เป็นเอกสารแนบท้าย แบบ ทส. 1.18 ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินฉบับเดิม

 

จริงหรือไม่?

 

ทั้งที่กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินฉบับเดิมนั้นเขียนว่า

 

หมวดที่ 3 ข้อยกเว้น

 

ก. สาเหตุของความเสียหายที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง

 

1. ความเสียหาย อันเกิดจาก

 

1.1        ………

1.2        ………

 

1.9 การร้าว (cracking) การแตก (cracking) การยุบแฟบ (collapse) หรือการได้รับความร้อนเกินขนาดของหม้อกำเนิดไอน้ำ (overheating of boilers) อุปกรณ์หรือท่อประหยัดเชื้อเพลิง (economisers) หรือถังเก็บความดัน หลอดหรือท่อ หรือการรั่วไหลของชิ้นส่วนปล่อยความดันหรือระบายไอน้ำหรือความบกพร่องของรอยเชื่อมของหม้อกำเนิดไอน้ำ

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทจะรับผิดต่อความเสียหายอื่นที่ติดตามมาจากข้อ 1.6 ถึง 1.11 ถ้าหากความเสียหายที่ติดตามมานั้นเกิดจากสาเหตุที่มิได้ระบุยกเว้นไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้  หรือความเสียหายตามข้อ 1.6 ถึง 1.11 นั้นเป็นผลโดยตรงจากความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัย หรือสถานที่ตั้งหรือเก็บทรัพย์สินดังกล่าวอันเกิดจากสาเหตุที่มิได้ระบุยกเว้นไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้   

 

อ่านข้อยกเว้นข้างต้นแล้ว ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า มีเขียนยกเว้นภัยระเบิด หรือภัยยุบแฟบของหม้อกำเนิดไอน้ำกับภาชนะรับแรงดันตรงไหนหนอ?

 

ฝากทิ้งท้ายให้ไปลองพิจารณาดูเองนะครับ

     

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com ต่างกัน

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

 

 

 

วันอังคารที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2566

เรื่องที่ 184 : อีกเรื่องชวนปวดหัวในการตีความหลักสาเหตุใกล้ชิด (Proximate Cause) สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยหม้อกำเนิดไอน้ำ และภาชนะรับแรงดัน (Boiler & Pressure Vessel Insurance Policy)?

 

(ตอนที่หนึ่ง)

 

เป็นที่รับทราบกันทั่วไป กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (Accidental Damage (Property) Insurance Policy หรือเรียกสั้น ๆ ว่า IAR) นั้น จะระบุไม่คุ้มครองเรื่องของหม้อกำเนิดไอน้ำ (boiler) ภาชนะรับแรงดัน (ถังเก็บความดัน/ถังอัดความดัน) (pressure vessel) พร้อมอุปกรณ์ ทั้งในกรณีที่เป็นสาเหตุที่ถูกยกเว้น และทรัพย์สินที่ถูกยกเว้นเอาไว้ ดังนี้

 

หมวดที่ 3 ข้อยกเว้น

 

ก. สาเหตุของความเสียหายที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง

 

1. ความเสียหาย อันเกิดจาก

 

1.1        ………

1.2        ………

 

1.9 การร้าว (cracking) การแตก (cracking) การยุบแฟบ (collapse) หรือการได้รับความร้อนเกินขนาดของหม้อกำเนิดไอน้ำ (overheating of boilers) อุปกรณ์หรือท่อประหยัดเชื้อเพลิง (economisers) หรือถังเก็บความดัน หลอดหรือท่อ หรือการรั่วไหลของชิ้นส่วนปล่อยความดันหรือระบายไอน้ำหรือความบกพร่องของรอยเชื่อมของหม้อกำเนิดไอน้ำ

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทจะรับผิดต่อความเสียหายอื่นที่ติดตามมาจากข้อ 1.6 ถึง 1.11 ถ้าหากความเสียหายที่ติดตามมานั้นเกิดจากสาเหตุที่มิได้ระบุยกเว้นไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้  หรือความเสียหายตามข้อ 1.6 ถึง 1.11 นั้นเป็นผลโดยตรงจากความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัย หรือสถานที่ตั้งหรือเก็บทรัพย์สินดังกล่าวอันเกิดจากสาเหตุที่มิได้ระบุยกเว้นไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้   

 

ข. การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครองทรัพย์สินดังต่อไปนี้

 

1.  ……….

2.  ……….

 

18. ความเสียหายของหม้อกำเนิดไอน้ำ อุปกรณ์หรือท่อประหยัดเชื้อเพลิง กังหันไอน้ำ เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ ซึ่งใช้แรงดันรวมถึงชิ้นส่วนของทรัพย์สินดังกล่าว อันเกิดจากการระเบิด หรือการแตกร้าวของตัวเอง

 

ผู้ขอเอาประกันภัยซึ่งมีทรัพย์สินจำพวกนี้อยู่ หากประสงค์จะให้ได้รับความคุ้มครอง มีทางเลือกอยู่สองทาง ได้แก่

 

1) ทางเลือกที่หนึ่ง

 

ไปเลือกซื้อกรมธรรม์ประกันภัยหม้อกำเนิดไอน้ำ และภาชนะรับแรงดัน (Boiler & Pressure Vessel Insurance Policy) เสริมเพิ่มเติมอีกหนึ่งฉบับ โดยจะให้ความคุ้มครองแบบระบุภัย คือ เพียงเฉพาะภัยการระเบิด (explosion) กับภัยการยุบแฟบ/การยุบตัว (collapse) เท่านั้น

 

และยังสามารถเลือกขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมรวมไปถึงทรัพย์สินอื่น ๆ ของผู้ขอเอาประกันภัยนั้นซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงจุดที่ตั้งหม้อกำเนิดไอน้ำ และภาชนะรับแรงดันที่เอาประกันภัยนั้นเอง ตลอดจนถึงความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกเนื่องจากสาเหตุที่คุ้มครองดังกล่าวอีกด้วย

 

2) ทางเลือกที่สอง

 

ไปเลือกขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมในลักษณะที่เป็นเอกสารแนบท้าย แบบ ทส. 1.18 ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินฉบับเดิมของตนก็ได้ แต่เฉพาะในส่วนนี้จะถูกลดความคุ้มครองเหลือแค่เพียงภัยการระเบิดกับภัยการยุบแฟบ/การยุบตัวเท่านั้น เช่นเดียวกับทางเลือกข้อแรก

 

และไม่มีทางเลือกให้ไปขยายความคุ้มครองถึงทรัพย์สินอื่น ๆ ของผู้ขอเอาประกันภัยนั้นซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงจุดที่ตั้งหม้อกำเนิดไอน้ำ และภาชนะรับแรงดันที่เอาประกันภัยนั้นเอง ตลอดจนถึงความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกเนื่องจากสาเหตุที่คุ้มครองดังกล่าวได้อีก

 

จะเห็นได้ว่า ทั้งสองส่วนความคุ้มครองนั้นจะค่อนข้างแยกภัยที่คุ้มครองแตกต่างจากกัน ไม่น่าจะก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทการตีความขึ้นมาได้อีก

 

คุณคิดเช่นนั้นบ้างหรือเปล่าครับ?

 

กระนั้นในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่คู่สัญญาประกันภัยฝ่ายหนึ่งเข้าใจ อาจไม่ใช่เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจถูกต้องตรงกันก็ได้

 

เหมือนดั่งเช่นตัวอย่างคดีศึกษาต่างประเทศนี้

 

หม้อกำเนิดไอน้ำที่เอาประกันภัยของผู้เอาประกันภัยรายหนึ่งเกิดอุบัติเหตุระเบิดขึ้นมา ส่งผลทำให้มีน้ำร้อนพุ่งกระจายออกมา และสร้างผลต่อเนื่องทำให้บริเวณพื้นที่นั้นเกิดอุณภูมิความร้อนสูงขึ้นมากจนถึงระดับระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติ (automatic sprinkler system) ที่ถูกติดตั้ง ณ จุดนั้นทำงานด้วยการพ่นกระจายน้ำออกมาสร้างความเสียหายเพิ่มเติมขึ้นมาอีก

 

เกิดมีประเด็นข้อพิพาทโต้แย้งระหว่างคู่สัญญาประกันภัยนี้ว่า

 

(1) มีเหตุการณ์ความเสียหาย (Loss Occurrence) หนึ่งครั้ง ในลักษณะเป็นสาเหตุใกล้ชิดอย่างต่อเนื่องกันใช่หรือไม่? หรือ

 

(2) มีเหตุการณ์ความเสียหาย (Loss Occurrence) สองครั้ง จากสาเหตุการระเบิดของหม้อกำเนิดไอน้ำ เป็นเหตุการณ์แรก และจากสาเหตุการเปียกน้ำเนื่องจากระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติ เป็นเหตุการณ์ที่สองใช่หรือเปล่า?

 

คุณจะเลือกถือข้างข้อใดดีครับ?

 

แล้วค่อยมารับฟังผลการตัดสินคดีนี้ตอนหน้า จะตรงกับสิ่งที่คุณคิดเห็นบ้างไหม?

     

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com ต่างกัน

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

 

 

วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2566

เรื่องที่ 183 : เมื่อลูกระเบิดจากสงครามโลกครั้งที่สองตามมาหลอกหลอนถึงทุกวันนี้?

 

(ตอนที่สอง)

 

เรามาทบทวนลำดับวันเวลาที่เกี่ยวข้องอีกครั้งนะครับ

 

วันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 สงครามโลกครั้งที่สองเริ่มอุบัติขึ้น ณ ทวีปยุโรป

 

วันที่ไม่มีบันทึกข้อมูล ค.ศ. 1942 ลูกระเบิดถูกทิ้งลงมาแล้วเกิดด้าน ณ เมืองที่เกิดเหตุ

 

วันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ณ ทวีปยุโรป

 

วันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ

 

วันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2020 2021 ช่วงระยะเวลาประกันภัยหนึ่งปี

 

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 คนงานได้ขุดเจอลูกระเบิดที่ตกค้างฝังในดิน

 

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 เจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการภาครัฐจุดระเบิดทำลายทิ้ง

 

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 บังเกิดความสูญเสียทางการเงิน และความเสียหายทางทรัพย์สินแก่ผู้เอาประกันภัย

 

วันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 2021 บริษัทประกันภัยนั้นได้ตอบปฏิเสธความรับผิด

 

คดีพิพาทได้ถูกนำเสนอต่อศาลชั้นต้นแห่งประเทศอังกฤษ เพื่อพิจารณาตัดสินประเด็นข้อโต้แย้งประเด็นเดียวของคดีนี้ กล่าวคือ

 

ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุใกล้ชิดจากภัยข้อยกเว้นของภัยสงครามหรือไม่?

 

ฝ่ายผู้เอาประกันภัยต่อสู้ว่า

 

ตนได้รับความเสียหายเนื่องจากภัยระเบิดจากการกระทำโดยจงใจของเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการภาครัฐ ซึ่งจัดอยู่ในภัยที่คุ้มครอง มิใช่เกิดจากการทิ้งลูกระเบิดลงมาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง (ตั้งแต่ประมาณ 79 ปีก่อนหน้านั้น) อันเป็นภัยที่ถูกยกเว้นเอาไว้ ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท

 

ขณะที่ฝ่ายบริษัทประกันภัยนั้นได้โต้แย้งว่า

 

ความเสียหายที่ได้รับนั้นตกอยู่ในข้อยกเว้นว่าด้วยภัยสงครามของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท ซึ่งเขียนว่า ไม่คุ้มครอง สำหรับกรณีดังต่อไปนี้

 

ความสูญเสีย ความวินาศ ความเสียหาย การเสียชีวิต การบาดเจ็บทางร่างกาย การทุพพลภาพ หรือความรับผิด ตลอดจนความเสียหายสืบเนื่องใดก็ตาม อันเป็นเหตุมาจาก (occasioned by) ภัยสงคราม การรุกราน การกระทำของศัตรูต่างชาติ การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ (ไม่ว่าจะได้มีการประกาศหรือไม่ก็ตาม) สงครามกลางเมือง การกบฏ การปฏิวัติ การแข็งข้อ หรือการยึดอำนาจการปกครองโดยทหาร หรือการช่วงชิงอำนาจ

 

โดยที่การทิ้งลูกระเบิดระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองนั้นจัดเป็นสาเหตุใกล้ชิดโดยตรงจากภัยสงคราม (the proximate cause) ในการก่อให้เกิดความเสียหายเหล่านี้จึงส่งผลทำให้ไม่ได้รับความคุ้มครองดังกล่าว

 

แม้นกระนั้น หากว่า การทิ้งลูกระเบิดนั้นเองถือเป็นสาเหตุใกล้ชิดจากภัยอื่น ๆ (a proximate cause) ในที่นี้ คือ การจุดระเบิดทำลายโดยเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการภาครัฐ มิใช่สาเหตุใกล้ชิดโดยตรง (the proximate cause) ในการก่อให้เกิดความเสียหายเหล่านี้ก็ตาม นั่นหมายความว่า กลายเป็นมีภัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องหลายภัย อันส่งผลทำให้เข้ากฎเกณฑ์สาเหตุที่พ้องกัน (concurrent causes rule) ซึ่งกำหนดว่า ถ้าภัยที่คุ้มครองมาเกิดขึ้นพ้องกันกับภัยที่ยกเว้น ให้ภัยที่ยกเว้นนั้นมีผลใช้บังคับเหนือกว่า กล่าวคือ ก็จะคงไม่ได้รับความคุ้มครองเช่นว่านั้นอยู่ดี

 

ฝ่ายผู้เอาประกันภัยตอบโต้ว่า

 

ตนเชื่อว่า ผู้ร่างกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทไม่น่ามีเจตนารมณ์เขียนข้อยกเว้นภัยสงครามนี้ให้มีผลย้อนหลังครอบคลุมรวมไปถึงภัยสงครามต่าง ๆ ในอดีตด้วย ฉะนั้น กรณีนี้มิใช่การพิจารณาโดยอาศัยกฎเกณฑ์สาเหตุที่พ้องกัน (concurrent causes rule) แต่ควรใช้เป็นกฎการตีความสัญญากำกวม (contra proferentem rule) (กฎของการตีความในสัญญา ถ้าหากฝ่ายใดเป็นผู้ร่างสัญญา และข้อความในสัญญากำกวมหรือคลุมเครือ ศาลจะตีความเป็นประโยชน์แก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมิใช่ผู้ร่างสัญญา - https://www.oic.or.th/th/node/27611) มากกว่า

 

ความเห็นของศาลชั้นต้นแห่งประเทศอังกฤษ

 

ได้พินิจพิเคราะห์จากพยานหลักฐานของคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้ว ให้ความเห็นไว้ดังนี้

 

1) สำหรับประเด็นเรื่องความกำกวมของถ้อยคำดังอ้างอิงในสัญญาประกันภัย/กรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทนั้น

 

ศาลไม่เห็นว่า มีความกำกวมไม่ชัดเจนแต่ประการใด เนื่องจากไม่ปรากฏมีข้อความของข้อยกเว้นนี้เขียนในลักษณะว่า ไม่คุ้มครองความเสียหายทั้งโดยทางตรง หรือโดยทางอ้อมจากภัยสงคราม ทำให้จำต้องอาศัยหลักสาเหตุใกล้ชิดมาใช้บังคับในการตีความ ซึ่งฝ่ายผู้เอาประกันภัยก็เห็นพ้องด้วยแล้ว ทั้งยังได้ต่อสู้การจุดระเบิดทำลายดังกล่าวมิใช่มีสาเหตุมาจากการกระทำสงคราม ฉะนั้น สาเหตุใกล้ชิดต่อความเสียหายเหล่านั้นก็ไม่ได้บังเกิดจากการกระทำสงครามเช่นเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ศาลจึงไม่รับฟังประเด็นข้อตอบโต้นี้

 

2) ส่วนประเด็นความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุใกล้ชิดจากภัยข้อยกเว้นของภัยสงครามหรือไม่?

 

การพิจารณาถึงความเสียหายว่า จะมีสาเหตุมาจากภัยที่คุ้มครองหรือเปล่านั้น ถือเป็นการแปลถ้อยคำของสัญญาประกันภัย ฉะนั้น หลักสาเหตุใกล้ชิดก็คือข้อตกลงในการแปลถ้อยคำของสัญญาประกันภัยนั้นเอง โดยอาศัยการพิจารณาถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของคู่สัญญานั้นเป็นสำคัญ โดยที่คำว่าสาเหตุ “ใกล้ชิด (proximate)” เทียบเคียงได้กับคำว่าสาเหตุ “ฉับพลันทันที (immediate)” อันตรงข้ามกับคำว่าสาเหตุ “ห่างไกล (remote)” แต่ศาลจะต้องขยายความให้กว้างกว่าคำว่าสาเหตุ “ฉับพลันทันที (immediate)” เพื่อค้นหาสาเหตุ “แท้จริง (real)” ออกมาให้ได้

 

ทั้งนี้ ศาลได้หยิบยกตัวอย่างคดีศึกษาหลายคดีที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางทั่วโลกมาอ้างอิง หนึ่งในนั้น คือ คดี Leyland Shipping Company v Norwich Union Fire Insurance Society Limited [1918] AC 350 กรณีเรือที่เอาประกันภัยลำหนึ่งได้รับความเสียหาย เนื่องจากถูกโจมตีด้วยตอร์ปิโดจากเรือดำน้ำของกองกำลังนาซีเยอรมัน และได้ถูกลากจูงเข้าเทียบท่าเรือใกล้ที่สุด เพื่อรอการซ่อมแซม แต่ต่อมาได้ถูกลากจูงให้ออกไปทิ้งสมอจอดลอยลำเรือนอกชายฝั่ง ท่ามกลางกระแสลม และคลื่นที่ปั่นป่วน สามวันถัดมา เรือลำนั้นก็จมลงสู่ท้องทะเลในท้ายที่สุด   

 

ศาลสูงสุดแห่งประเทศอังกฤษได้พิจารณาว่า แม้เรือลำนั้นได้รับความคุ้มครองจากภัยทางทะเล (perils of the sea) แต่เนื่องด้วยปรากฏมีข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทระบุไม่คุ้มครองถึงผลสืบเนื่องต่าง ๆ จากการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ หรือการปฏิบัติการเยี่ยงสงคราม เมื่อความเสียหายที่บังเกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุใกล้ชิดมาจากการถูกยิงด้วยตอร์ปิโด ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ดังว่านั้น จึงส่งผลทำให้ไม่ได้รับความคุ้มครอง

 

ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเรือลำนั้นได้ถูกลากจูงมาถึงท่าเรือ ก็สามารถลอยลำจอดเทียบท่าเรือนั้นได้อย่างปลอดภัย และจะคงอยู่ในสภาพเช่นนั้น หากได้รับอนุญาตให้จอดอยู่ได้ต่อไป อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยสภาวะอากาศที่แปรปรวนขณะนั้น ได้สร้างความกังวลใจอย่างมากแก่เจ้าหน้าที่ของการท่าเรือว่า ถ้าเรือลำนั้นบังเอิญเกิดจมลงไป ก็อาจไปกีดขวางการเข้าเทียบท่าของเรือลำอื่น ๆ ได้ ซึ่งในสภาวะสงครามจำต้องเตรียมความพร้อมในการให้บริการโดยไม่ติดขัด เพื่อปกป้องความเสียหายที่อาจบังเกิดแก่เรือลำอื่น ๆ ได้ เจ้าหน้าที่ของการท่าเรือแห่งนั้นโดยไม่มีทางเลือกอื่นจำต้องออกคำสั่งให้กัปตันของเรือลำนั้นเคลื่อนย้ายออกไปจอดทิ้งสมอลอยลำนอกชายฝั่ง จนท้ายที่สุดไม่อาจทนสภาพแปรปรวนของคลื่นลมได้อีกต่อไป เรือลำนั้นก็จมตัวลงกลายเป็นความเสียหายโดยสิ้นเชิงในอีกไม่กี่วันถัดมา

 

ในการค้นหาสาเหตุใกล้ชิดคดีนี้ ให้มองข้ามการพยายามที่จะทุเลา หรือหยุดยั้งความเสียหายของมนุษย์ ด้วยการลากจูงเรือลำนั้นมาจอดเทียบท่าเรือแต่แรก โดยมองผ่านไปถึงการนำเรือลำนั้นไปจอดทิ้งสมอนอกชายฝั่งได้เลย ด้วยเหตุนี้ สาเหตุใกล้ชิดนั้นไม่จำต้องเป็นสาเหตุใกล้ชิดที่สุดเสมอไป ให้พยายามอาศัยหลักสามัญสำนึก (common sense) ตามความเข้าใจของทั่วไปในการพิจารณามากกว่าเพียงอาศัยความรู้สึกส่วนตนเป็นเกณฑ์

 

เช่นเดียวกับคดีนี้ ถ้ามองข้ามการกระทำของมนุษย์ (ตราบเท่าที่มีเหตุผลสมควร) ในการจุดระเบิดทำลายลูกระเบิดนั้น การทิ้งลูกระเบิดนั้นลงมาถือเป็นสาเหตุใกล้ชิดของความเสียหายที่บังเกิดขึ้นดังกล่าวท้ายที่สุด กรณีจึงไม่เข้าข่ายที่จำต้องไปจำแนกออกเป็นหลายภัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องตามกฎเกณฑ์สาเหตุที่พ้องกัน (concurrent causes rule) ดังอ้างอิงข้างต้น

 

อย่างไรก็ตาม หากทดลองด้วยการไม่มองข้ามถึงการกระทำของมนุษย์ การพิจารณาโดยอาศัยสามัญสำนึกในที่นี้ ก็คือ ความเสียหายเหล่านั้นได้เกิดจากการระเบิด โดยฝีมือของเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการภาครัฐซึ่งมีอำนาจตามกฎหมาย และได้กระทำการตามความจำเป็นในขอบเขตอำนาจนั้นด้วย เนื่องจากการคงอยู่ของลูกระเบิดนั้นซึ่งอาจเกิดระเบิดขึ้นมาเองได้ทุกเมื่อ ดังนั้น ถ้าไม่มีลูกระเบิดนั้นปรากฏอยู่เลย ก็คงไม่จำต้องมีการจุดระเบิดทำลายขึ้นมาเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุผลดังกล่าว ศาลจึงเห็นว่า การทิ้งลูกระเบิดนั้นลงมาถือเป็นสาเหตุใกล้ชิดโดยตรงต่อความเสียหายเหล่านั้นเองอยู่ดี

 

ตัดสินให้ฝ่ายบริษัทประกันภัยนั้นไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Allianz Insurance Plc v The University of Exeter [2023] EWHC 630)

 

หมายเหตุ

 

คดีนี้มีคำตัดสินออกมาโดยศาลชั้นต้นแห่งประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2023 นี้เอง น่าสนใจว่า ฝ่ายผู้เอาประกันภัยจะร้องอุทธรณ์ต่อไปหรือไม่? ถ้ามี ก็จะนำมาอัพเดทให้อ่านกันครับ

 

อนึ่ง เมื่ออ่านตัวอย่างคดีศึกษานี้แล้ว อดนึกไม่ได้ นี่อาจจะเป็นเรื่องใกล้ตัวบ้านเราได้เช่นกัน เนื่องด้วยยังมีข่าวพบเจอลูกระเบิดด้านตกค้างตามพื้นที่ต่าง ๆ ของบ้านเราอยู่บ่อยครั้ง สมมุติถ้าบังเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้นมาจริง ศาลไทยท่านจะพิจารณาเช่นใดกันหนอ? ยิ่งกรมธรรม์ประกันภัยทุกประเภทล้วนมีข้อยกเว้นลักษณะนี้อยู่เสียด้วย

     

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com ต่างกัน

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/