วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2563

 

เรื่องที่ 129 : คุณทำอย่างนี้กับผมได้ยังไง?

(ตอนที่สอง)

ขอทวนคำถามทิ้งท้ายตอนที่แล้วอีกครั้งนะครับ คุณคิดว่า 

1) การที่ผู้รับเหมาถูกว่าจ้างจากผู้เช่าบ้านให้เข้าไปดำเนินการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบ้านของผู้ให้เช่า และได้เคลื่อนย้ายทรัพย์สินบางส่วนของผู้ให้เช่าออกไปไว้ที่อื่น โดยมิได้รับความเห็นชอบจากผู้ให้เช่าซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตัวจริงเลย ถือเป็นความรับผิดตามกฎหมายต่อผู้ให้เช่าในฐานะบุคคลภายนอกไหม?

2) ถ้าใช่ บริษัทประกันภัยซึ่งให้ความคุ้มครองความรับผิดตามกฎหมายแก่ผู้รับเหมาในฐานะผู้เอาประกันภัย จำต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยแก่ผู้ให้เช่าในฐานะบุคคลภายนอกไหมครับ?

ศาลชั้นต้นพิจารณาในส่วนความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกฉบับพิพาท แล้ววินิจฉัยว่า

การกระทำของจำเลยผู้รับเหมาสามารถจำแนกออกได้เป็นสองส่วน คือ

(1) ส่วนความสูญเสียและความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของบ้านหลังดังกล่าว

(2) ส่วนความสูญเสียและความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่ถูกเคลื่อนย้ายออกไปเก็บไว้สถานที่แห่งอื่น

ทั้งสองส่วนนั้น เป็นการกระทำอันละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์เจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านและทรัพย์สินดังกล่าวมิได้เห็นชอบและยินยอมให้กระทำการนั้นได้แต่ประการใด

อย่างไรก็ดี แม้เป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อโจทก์ แต่เนื่องจากเงื่อนไขความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าวระบุเพียงคุ้มครองเฉพาะการกระทำโดยอุบัติเหตุเท่านั้น ด้วยเหตุผลเช่นนี้ ส่งผลทำให้จำต้องจำแนกการวินิจฉัยออกเป็นสองส่วน ดังนี้

(1) ส่วนแรก สำหรับความสูญเสียและความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของบ้านหลังดังกล่าวนั้นเป็นการกระทำโดยเจตนาของจำเลยผู้รับเหมา (ผู้รับจ้าง) ตามคำสั่งของผู้เช่าซึ่งเป็นผู้ว่าจ้าง บริษัทประกันภัยในฐานะจำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดตามตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าว

(2) ส่วนที่สอง สำหรับความสูญเสียและความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่ถูกเคลื่อนย้ายออกไปเก็บไว้สถานที่แห่งอื่น ซึ่งปรากฏบางชิ้นได้สูญหายไปและบางชิ้นได้เสียหายนั้น มิได้เกิดขึ้นโดยเจตนาของจำเลยผู้รับเหมา แต่เนื่องมาจากความประมาทเลินเล่อในการดูแลรักษาที่ดี ถือเป็นอุบัติเหตุซึ่งบริษัทประกันภัยจำเลยร่วมจำต้องรับผิดชอบตามตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าว จึงวินิจฉัยให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นจำนวนเงินประมาณ 100,000 ดอลล่าร์สหรัฐ

ทั้งโจทก์กับจำเลยร่วมต่างยื่นอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยออกมาเป็นประเด็น ดังนี้

1) ประเด็น “อุบัติเหตุ (Accident)” ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าวได้กำหนดนิยามของ “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (Occurrence)” หมายความถึง อุบัติเหตุ รวมทั้งกรณีที่ก่อให้เกิดสภาวะที่เป็นอันตรายตามปกติทั่วไปเช่นนั้นอย่างต่อเนื่อง และซ้ำซ้อน ซึ่งส่งผลทำให้เกิดความบาดเจ็บทางร่างกาย หรือความเสียหายต่อทรัพย์สิน โดยที่ผู้เอาประกันภัยมิได้มุ่งหวังหรือมิได้เจตนาให้เกิดขึ้น

เมื่อจำเลยผู้รับเหมา (ผู้รับจ้าง) ได้กระทำการดังกล่าวตามคำสั่งของผู้เช่าซึ่งเป็นผู้ว่าจ้าง จึงไม่ตกอยู่ในความหมายของอุบัติเหตุดังกำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าว อีกทั้งจำเลยผู้รับเหมาก็ได้ยอมรับผิดในชั้นศาลชั้นต้นไปแล้วว่า ตนได้กระทำการไปโดยปราศจากความยินยอมและความเห็นชอบจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง

ฉะนั้น จึงไม่มีเหตุผลสมควรที่จะต้องไปจำแนกการกระทำดังกล่าวของจำเลยผู้รับเหมาออกเป็นสองส่วน เพราะทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นมาจากการกระทำด้วยความจงใจของจำเลยผู้รับเหมาทั้งสิ้น

กอปรกับโจทก์เองก็ไม่สามารถพิสูจน์ให้ศาลอุทธรณ์เห็นได้อย่างชัดเจนและรับฟังจนสิ้นสงสัยได้ว่า จำเลยผู้รับเหมากระทำการโดยประมาทเลินเล่อในการดูแลรักษาของตน เพียงแต่กล่าวอ้างว่า ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแก่ทรัพย์สินของตนเท่านั้น 

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีนี้ตีความคำว่า “อุบัติเหตุ” ต้องเป็นกรณีที่เกิดขึ้นจากการกระทำโดยไม่ได้เจตนา มิใช่มองเพียงผลที่ได้รับโดยไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น

การครอบครองทรัพย์สินในส่วนที่สอง อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า “Conversion” นั้น คำแปลภาษาไทยใช้คำเรียกว่า “การเบียดบังทรัพย์ของผู้อื่น” หรือบ้างก็แปลว่า “การรบกวนสิทธิครอบครองในสังหาริมทรัพย์” จะเห็นได้ว่า ล้วนแต่เกิดขึ้นโดยเจตนาทั้งสิ้น จึงไม่อยู่ในความหมายของอุบัติเหตุ ถึงแม้จำเลยผู้รับเหมาอ้างว่า เป็นการถือครองเพียงชั่วคราว และมีเจตนาจะนำส่งกลับคืนภายหลังก็ตาม

2) ประเด็นที่สอง กรณีส่วนที่สอง สำหรับความสูญเสียและความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่ถูกเคลื่อนย้ายออกไปเก็บไว้สถานที่แห่งอื่นนั้นถือเป็นการสูญเสียการใช้งาน (Loss of Use) ของทรัพย์สินนั้นได้ไหม?

แม้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าวให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สิน รวมถึงการสูญเสียการใช้งานของทรัพย์สินนั้นด้วย แต่ทั้งหมดล้วนตกอยู่ในเงื่อนไขของกรณีอุบัติเหตุทั้งสิ้น 

การที่โจทก์กล่าวอ้างว่า กรณีน่าจะเข้าข่ายเป็นการสูญเสียการใช้งานซึ่งมิได้มีการกำหนดคำนิยามเอาไว้ก็ตาม และควรจะได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้น

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การสูญเสียการใช้งาน (Loss of Use) กับความสูญเสียและความเสียหายแก่ทรัพย์สิน (Loss of Property) นั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น กรณีรถยนต์ถูกขโมยไป มูลค่าของการสูญเสียการใช้งานของรถยนต์คันนั้น คือ ค่าเช่ารถยนต์คันอื่นที่ใกล้เคียงกันมาใช้งานแทนช่วงเวลาที่ได้รับความเสียหายดังกล่าว ขณะที่มูลค่าความสูญเสียของรถยนต์คันนั้นจะเทียบเท่ากับมูลค่าการจัดซื้อรถยนต์คันใหม่มาทดแทน ซึ่งในคดีนี้ สิ่งที่โจทก์มาเรียกร้องนั้นเป็นความสูญเสียและความเสียหายแก่ทรัพย์สินของตนต่างหาก

ดังนั้น การตีความของกรมธรรม์ประกันภัยจำต้องมองจากภาพรวมทั้งฉบับประกอบด้วย มิใช่เพียงมองแต่บางจุดเท่านั้น

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้บริษัทประกันภัยจำเลยร่วมไม่จำต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าว

(อ้างอิงและเรียบเรียงมาจากคดี Collin v. American Empire, Ins. Co. (1994) 21 Cal.App.4th 787, 818)

เรื่องต่อไป การตีความหมายของคำว่า “งานฝีมือ (Workmanship) ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิดของผู้รับเหมา (Contractor’s All Risks Insurance Policy)

บริการ

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

และที่ https://www.facebook.com/BestTrainingAdvisory

 

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2563

 

เรื่องที่ 129 : คุณทำอย่างนี้กับผมได้ยังไง?

(ตอนที่หนึ่ง)

ครอบครัวคอลลินส์เป็นเจ้าของบ้านหลังหนึ่งและได้ให้นายกอร์ดอนเช่าอยู่เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1985 พร้อมกับบอกผู้เช่าไปด้วยว่า ถ้าสนใจจะซื้อ ก็ยินดีที่จะขายให้ ด้วยความสนใจจะซื้อ นายกอร์ดอนจึงถือวิสาสะไปว่าจ้างผู้รับเหมาทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบางส่วนของบ้านหลังนั้นขนานใหญ่

กว่าครอบครัวคอลลินส์จะได้รับทราบเรื่องว่าผู้เช่าได้ทำการรื้อปรับปรุงบ้านของตนเองโดยมิได้รับอนุญาต ทั้งยังมีการขนย้ายเฟอร์นิเจอร์กับทรัพย์สินมีค่าของตนหลายชิ้นออกไปด้วย ก็ปาเข้าไปร่วมหกเดือนถัดมาแล้ว จึงได้มอบหมายทนายความให้ทำหนังสือแจ้งแก่ผู้เช่าลงวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 1985 ให้ทำรายงานถึงรายการกับสถานที่จัดเก็บทรัพย์สินที่ถูกเคลื่อนย้ายไป และให้จัดทำประกันภัยคุ้มครองทรัพย์สินเหล่านั้นมาให้รับทราบก่อนวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1985 นอกจากนี้ยังได้ย้ำให้ผู้เช่ามาตกลงทำสัญญาซื้อบ้านหลังนั้นให้เรียบร้อย หรือมิฉะนั้น ก็ให้ดำเนินการทำให้บ้านหลังนั้นกลับคืนสู่สภาพดังเดิมก่อนเช่า ถ้าผู้เช่าเพิกเฉยจะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดต่อไป

เมื่อคนเราถึงคราวโชคร้ายมาเยือน ปรากฏว่า นายกอร์ดอนผู้เช่าเกิดประสบปัญหาทางการเงินอย่างกระทันหันและอย่างรุนแรง นอกจากเพิกเฉยไม่ดำเนินการใดดังที่ทนายความได้แจ้งเอาไว้แล้ว ค่าเช่าบ้านรวมถึงค่าจ้างของผู้รับเหมาที่ได้ว่าจ้างมา พาลถูกเบี้ยวไม่มีตังค์จ่ายให้ทั้งสิ้น

ครอบครัวคอลลินส์ได้พยายามติดตามทรัพย์สินดังกล่าวของตนกลับมาได้บ้างเพียงบางชิ้นเท่านั้น และเข้าไปยึดถือการครอบครองบ้านหลังนั้นของตนกลับมาอีกด้วย ซึ่งเมื่อให้ผู้ประเมินวินาศภัยอิสระ (independent insurance adjuster) ประเมินมูลค่าความเสียหายของทั้งตัวทรัพย์สินเหล่านั้นกับตัวโครงสร้างของบ้านหลังนั้น เบื้องต้นรวมได้มูลค่าประมาณ 125,376 ดอลล่าร์สหรัฐ โดยยังมิได้รวมค่าใช้จ่ายในการทำให้บ้านกลับคืนสู่สภาพดังเดิมอีก

ผู้รับเหมาเองได้ยื่นฟ้องทั้งครอบครัวคอลลินส์กับผู้เช่าให้ร่วมกันชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ตนได้สูญเสียไปตามสัญญาว่าจ้าง

ต่อมา ครอบครัวคอลลินส์ก็ได้ยื่นฟ้องผู้รับเหมาให้รับผิดชอบ สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ตนเป็นอีกคดีหนึ่งเช่นกัน เป็นเงินประมาณ 230,000 ดอลล่าร์สหรัฐ โดยกล่าวหาว่า ผู้รับเหมาดำเนินงานโดยมิได้รับความเห็นชอบจากเจ้าของบ้านตัวจริง ทั้งยังทำงานอย่างไม่ถูกต้องและอย่างมืออาชีพจนทำให้ทรัพย์สินดังกล่าว รวมถึงทรัพย์สินที่ถูกเคลื่อนย้ายบางส่วนออกไปได้รับความเสียหาย ด้วยความจงใจและด้วยเจตนาร้าย ทั้งที่รับรู้ว่าตนไม่มีสิทธิ์

เนื่องจากผู้รับเหมาเองได้จัดทำประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกแบบครอบคลุม (Comprehensive General Liability Insurance) ไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งเผื่อไว้ จึงได้แจ้งให้บริษัทประกันภัยรายนั้นมารับผิดแทน

คุณคิดว่า

1) การดำเนินงานของผู้รับเหมาถือเป็นความรับผิดตามกฎหมายไหม?

2) บริษัทประกันภัยจำต้องรับผิดแทนในการกระทำของผู้รับเหมาไหมครับ?

อดใจรอลุ้นผลทางคดีกันต่อสัปดาห์หน้าครับ

 

บริการ

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

และที่ https://www.facebook.com/BestTrainingAdvisory

 

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2563

เรื่องที่ 128 : ผู้เช่าที่พักอาศัยอยู่ในบ้านเช่าถือเป็นบุคคลภายนอก อันกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายของผู้ให้เช่าสามารถให้ความคุ้มครองได้หรือไม่?

 

ต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ผมได้เขียนบทความสองเรื่องต่อเนื่องกัน คือ เรื่องที่ 60: ผู้เช่าบ้านทำให้เกิดไฟไหม้บ้านเช่า หลังจากบริษัทประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองบ้านเช่าได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ให้เช่า ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยของตนแล้ว สามารถรับช่วงสิทธิไปไล่เบี้ยเอากับผู้เช่าบ้านได้หรือไม่? และเรื่องที่ 61: ผู้เช่าส่วนหนึ่งของอาคารทำร้านอาหาร แล้วทำให้เกิดไฟไหม้อาคารที่เช่าทั้งหลัง หลังจากบริษัทประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองอาคารเช่านั้นได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ให้เช่า ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยของตนไปแล้ว สามารถรับช่วงสิทธิไปไล่เบี้ยเอากับผู้เช่าที่เป็นต้นเพลิงได้หรือไม่?

 

พร้อมให้ข้อสังเกตุแนวทางคำพิพากษาของศาลทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศอังกฤษที่เดินทางตามแนวเดียวกัน โดยอาศัยการพิจารณาจากประเด็นหลัก ๆ ดังนี้

1) ประเด็นหลักกฎหมายสัญญาเช่าที่ว่า ความเสียหายใหญ่ที่เกิดแก่ทรัพย์สินที่ให้เช่า เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ให้เช่า ส่วนความเสียหายเล็กน้อยเนื่องจากการใช้ทรัพย์สินที่เช่านั้นตามปกติวิสัย ให้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้เช่า ดังนั้น เมื่อเกิดไฟไหม้ หรือน้ำท่วม จึงตกเป็นภาระของผู้ให้เช่าไป

2) ประเด็นลักษณะการเช่า เช่น เช่าเพื่ออยู่อาศัย เช่าเพื่อการพาณิชย์ เป็นต้น และอายุสัญญาเช่า สั้น หรือยาว หากเป็นการเช่าช่วงสั้น ๆ โดยปกติแล้ว คงไม่สมเหตุผลนักที่จะกำหนดให้ผู้เช่าเป็นผู้จัดทำประกันภัยคุ้มครองทรัพย์สินที่เช่า แนวศาลประเทศสหรัฐอเมริกามองว่า สำหรับการเช่าเพื่ออยู่อาศัย ถ้ามิได้มีข้อกำหนดของสัญญาเช่าอย่างชัดแจ้ง ให้ถือเบื้องต้นว่า ผู้ให้เช่าเป็นผู้จัดทำประกันภัยทรัพย์สินที่ให้เช่าเอง ส่วนศาลประเทศอังกฤษมิได้แยกแยะเช่นนั้น

3) ประเด็นสัญญาเช่าได้มีข้อกำหนดอย่างชัดแจ้งต่างจากหลักกฎหมายข้างต้นหรือไม่? มีข้อกำหนดให้ผู้เช่าเป็นผู้จัดทำประกันภัยครอบคลุมถึงทรัพย์สินที่เช่าหรือไม่? ถ้ามี ก็ว่ากันไปตามข้อกำหนดระหว่างคู่สัญญาเช่านั้น ๆ

ตราบใดที่มิได้มีข้อกำหนดแห่งสัญญาเช่าเป็นอย่างอื่นอย่างชัดแจ้ง เบื้องต้นให้ถือว่า การจัดทำประกันภัยคุ้มครองทรัพย์สินที่เช่าเป็นหน้าที่ของผู้ให้เช่า เพื่อประโยชน์ของผู้เช่าด้วย แม้ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนั้นจะระบุเพียงผู้ให้เช่าเป็นผู้เอาประกันภัยรายเดียวเท่านั้นก็ตาม ศาลตีความให้ผู้เช่าเป็นเสมือนผู้เอาประกันภัยร่วม (implied co-insured) โดยอาศัยหลักกฎหมายเรื่องตัวการ ตัวแทนมาพิจารณาประกอบด้วย จากเหตุผลดังกล่าว จึงทำให้บริษัทประกันภัยมิอาจรับช่วงสิทธิไปไล่เบี้ยเอากับผู้เช่าได้ ถึงแม้จะเป็นผู้กระทำละเมิดแก่ผู้ให้เช่าก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ศาลในประเทศสหรัฐอเมริกาก็ยังมีมุมมองประเด็นนี้แตกต่างกันอยู่ ยังมิได้ถือเป็นยุติเสียทีเดียว แต่น่าสนใจว่า หลายประเทศ อย่างประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย มาเลเซีย ก็ใช้แนวคำพิพากษาของศาลประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เรียกว่า ทฤษฏีซัตตัน (Sutton Rule)นี้ ในการอ้างอิงด้วยเหมือนกัน

อีกทั้งได้ทิ้งท้ายไว้ว่า เท่าที่ค้นคว้า ผมยังไม่พบเจอคำพิพากษาศาลฎีกาของไทยในประเด็นเรื่องนี้ แต่เจตนารมณ์ที่นำประเด็นข้อพิพาทนี้มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้เป็นข้อมูลเสริมเพิ่มมุมมองที่แตกต่างออกไปเท่านั้น จึงขอความกรุณาใช้วิจารญาณด้วยนะครับ

 

บัดนี้ลองขอให้พิจารณาแนวคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไปนี้เทียบเคียงดูนะครับ ซึ่งผมเห็นว่า หลักกฎหมายความรับผิดเรื่องละเมิดกรณีทำความเสียหายแก่ผู้อื่นนั้น ความหมายผู้อื่นหรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “บุคคลภายนอก” นั้น อาจเป็นกรณีผู้ให้เช่ากระทำละเมิดต่อผู้เช่า หรือในทางกลับกันก็ได้ แล้วแต่กรณี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 849/2490

เกิดไฟไหม้บ้านเช่า ในขณะที่ผู้เช่าเป็นผู้ครอบครอง ในฐานะเป็นผู้เช่านั้น แม้ผู้ให้เช่าจะสืบไม่ได้ความชัดว่า ไฟเกิดขึ้นด้วยเหตุใด หรือใครทำให้เกิดขึ้นก็ดี เมื่อได้ความว่าไฟเกิดขึ้นจากบ้านที่เช่า ไม่ใช่เกิดขึ้นที่อื่นแล้วลุกลามมาไหม้บ้านเช่าแล้ว ผู้เช่าก็ย่อมมีหน้าที่สืบแสดงข้อแก้ตัวเพื่อให้พ้นความรับผิด ถ้าสืบไม่ได้ก็ไม่พ้นความรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6159/2551

เมื่อทรัพย์ที่เช่าคือโรงงานมาตรฐานทั้งสองหลังของโจทก์ได้รับความเสียหายทั้งหลัง สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นอันสิ้นสุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 567 เมื่อทรัพย์ที่เช่าสูญหายหรือเสียหายไปโดยสิ้นเชิง จึงไม่สามารถที่จะส่งคืนทรัพย์สินที่เช่าได้ ดังนั้น คดีโจทก์จึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องฟ้องจำเลยภายใน 6 เดือน นับแต่วันส่งคืนทรัพย์สินที่เช่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 563 ตามคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยว่า กระทำละเมิดเป็นเหตุให้โรงงานมาตรฐานทั้งสองหลังของโจทก์ได้รับความเสียหายถูกเพลิงไหม้ ซึ่งโจทก์จะต้องฟ้องผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนภายใน 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อปรากฏว่า คณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งที่โจทก์ได้แต่งตั้งขึ้นได้ทำรายงานผลการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งแจ้งแก่ผู้ว่าการของโจทก์ระบุว่า ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดเกี่ยวข้องในทางที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้และจะต้องรับผิดในทางแพ่ง แต่เห็นว่าจำเลยผู้เช่าเป็นผู้ผิดสัญญาโดยทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เช่า จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าเสียหายซึ่งโจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ด้วยว่าจำเลยมีหน้าที่ตามสัญญาเช่าจะต้องส่งมอบโรงงานมาตรฐานที่เช่าจากโจทก์คืนในสภาพเรียบร้อย เมื่อคืนไม่ได้แล้วต้องชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งกรณีดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความทั่วไป 10 ปี

เหตุเกิดเพลิงไหม้โรงงานมาตรฐานของโจทก์ เมื่อจำเลยเป็นผู้ครอบครองไฟฟ้าซึ่งเป็นทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพ การที่จำเลยไม่ดูแลให้ดีทำให้เกิดไฟไหม้ขึ้น จำเลยจึงต้องรับผิด เว้นแต่ว่าจำเลยจะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย เมื่อมิใช่เหตุสุดวิสัยและมิได้เกิดเพราะความผิดของโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหาย จำเลยจึงปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่ 


เรื่องต่อไป โปรดติดตามนะครับว่าจะนำเรื่องอะไรเอ่ยมาเล่าสู่กันฟัง

บริการ

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

และที่ https://www.facebook.com/BestTrainingAdvisory

 

 

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2563

เรื่องที่ 127 : การที่ผู้เอาประกันภัยนำบ้านไปปล่อยให้ผู้อื่นเช่าอยู่อาศัยแทน จะส่งผลกระทบต่อความคุ้มครองของบ้านเช่าหลังนั้นหรือไม่?

(ตอนที่สอง)



จากคดีศึกษาตอนแรก เราจะเห็นได้ว่า ต่างประเทศมีการแยกแยะรูปแบบการประกันภัยกันอย่างชัดเจนระหว่างกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับที่อยู่อาศัยกับกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับการเช่า ซึ่งอย่างหลังแยกย่อยลงไป ดังนี้



ก) กรมธรรม์ประกันภัยสำหรับผู้ให้เช่า (Landlord Insurance Policy) อันเป็นการคุ้มครองถึงทรัพย์สินที่ให้เช่าออกไปนั้นเอง บางครั้งก็เรียกกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองทรัพย์สินที่ให้เช่า (Rental Property Insurance Policy) โดยที่ควรมีการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายของผู้ให้เช่า (Landlord Liability Insurance Policy) ประกอบไปด้วย และ



ข) กรมธรรม์ประกันภัยสำหรับผู้เช่า (Renter Insurance Policy) ซึ่งให้ความคุ้มครองถึงทรัพย์สินส่วนตัวของผู้เช่าเอง ทั้งควรจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายของผู้เช่า (Renter Liability Insurance Policy) ด้วยเช่นกัน



ทั้งหมดข้างต้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเช่าเพื่อการอยู่อาศัย หรือเพื่อประกอบการพาณิชย์ก็ตาม ล้วนตกอยู่ภายใต้มุมมองของบริษัทประกันภัยในการประเมินความเสี่ยงภัยสูงกว่าบ้านพักอาศัยอย่างเดียว เนื่องจากถือเป็นการดำเนินกิจการค้าหารายได้จากการให้เช่า



ทำให้จำต้องมีการกำหนดเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยเหล่านั้นแยกแยะมิให้ทับซ้อนกัน โดยเฉพาะบางกรณี เจ้าของบ้านอาจมิได้ให้เช่าบ้านทั้งหลัง อาจเป็นการจัดแบ่งห้องบางห้องภายในบ้านหลังนั้นให้เช่าพักอาศัย (rooming house) ก็ได้



มีการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยจะต่างกัน คือ บ้านที่อยู่อาศัยอย่างเดียวจะถูกกว่าบ้านที่ให้เช่าทั้งหลัง หรือกระทั่งแบ่งพื้นที่ให้เช่าบางส่วน



เมื่อกลับมามองกรมธรรม์ประกันภัยฉบับมาตรฐานบ้านเรา โดยเฉพาะในส่วนของกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย (คุ้มครองแบบระบุภัย) หรือกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (คุ้มครองแบบสรรพภัย) ซึ่งฉบับหลัง แม้ในทางปฏิบัติ บริษัทประกันภัยไม่ใคร่อยากจะนำไปใช้กับที่อยู่อาศัยมากนัก แต่ก็มิได้มีข้อห้ามชัดเจนถึงขนาดนั้น และอย่างที่เคยเขียนบทความให้ความเห็นไปแล้วว่า กรณีคอนโดมิเนียม ไม่สมควรอย่างยิ่งที่ตัวนิติบุคคลอาคารชุดในส่วนของทรัพย์สินส่วนกลางไปจัดทำเป็นกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ขณะที่ส่วนของห้องชุดแต่ละห้องไปจัดทำเป็นกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย จะส่งผลให้มีปัญหาเกิดขึ้นแน่นอนครับ แนะนำให้จัดทำเป็นรูปแบบเดียวกันทั้งหมดดีที่สุดครับ



เนื่องจากทั้งรูปแบบกรมธรรม์ประกันภัยฉบับมาตรฐานทั้งสองฉบับมิได้ถูกกำหนดแยกแยะอย่างชัดเจนระหว่างบ้านอยู่อาศัยอย่างเดียวกับบ้านที่ให้เช่าทั้งหลัง หรือกระทั่งแบ่งพื้นที่ให้เช่าบางส่วน รวมถึงพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยตามคำสั่งนายทะเบียน สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ก็มิได้ระบุแยกย่อยลงไปเช่นนั้น ทำให้เวลาระบุในหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยจำต้องเขียนว่า สถานที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยเท่านั้น ไม่สามารถหาลักษณะภัยอื่นใดมาเทียบเคียงได้เลย



ฉะนั้น หากนำคดีศึกษาต่างประเทศกรณีดังกล่าวมาเทียบเคียงปรับใช้กับรูปแบบกรมธรรม์ประกันภัยฉบับมาตรฐานทั้งสองฉบับบ้านเราแล้วล่ะก้อ เห็นได้ว่า บริษัทประกันภัยไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะนำมาใช้อ้างปฏิเสธความรับผิดในเรื่องการให้เช่าบ้านได้เลยนะครับ



ส่วนที่เคยมีคดีให้เช่าห้องชุดในคอนโดมิเนียม แล้วศาลชั้นต้นตัดสินให้มีความผิดนั้น เห็นว่า เป็นเรื่องบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แต่ในส่วนของข้อตกลงตามสัญญาประกันภัยถือเป็นคนละกรณี จะนำมาเชื่อมโยงกันนั้นไม่น่าจะถูกต้อง



อย่างไรก็ดี ควรระวังการหยิบยกการผิดเงื่อนไขจากบริษัทประกันภัยมาใช้กล่าวอ้างไม่รับผิดชอบแทนเผื่อไว้บ้างก็ดี ดังนี้



1) กรมธรรม์ประกันอัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัย

     6. เงื่อนไขทั่วไป

         6.13  การระงับไปแห่งสัญญาประกันภัย

                 ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ เป็นอันระงับสิ้นไปทันทีเมื่อ

                  6.13.1  มีการเปลี่ยนแปลงการใช้สถานที่เอาประกันภัยจากที่อยู่อาศัย เป็นการประกอบการประเภทอื่นโดยไม่มีการใช้อยู่อาศัย และการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ทำให้การเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ บริษัทจะคืนเบี้ยประกันภัยตามตารางอัตราเบี้ยประกันภัยระยะสั้น

                  …………………………………..  

                  6.13.5 ……………………………..



                  อย่างไรก็ตามเงื่อนไขข้อ 6.13 นี้ จะไม่นำมาบังคับใช้หากผู้เอาประกันภัยได้แจ้งให้บริษัททราบและบริษัทตกลงยินยอมรับประกันภัยต่อไป โดยได้ออกใบสลักหลังกรมธรรม์ประกันภัยไว้เป็นหลักฐานแล้ว



2) กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน

หมวดที่ 1 เงื่อนไขทั่วไป


     9 การระงับไปแห่งสัญญาประกันภัย ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เป็นอันระงับไปทันที เมื่อ
       9.1 มีการเปลี่ยนแปลงธุรกิจการค้า การผลิตหรือลักษณะการใช้สถานที่ หรือสภาพแวดล้อม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นมีผลกระทบต่ออาคารหรือสถานที่เก็บทรัพย์สินที่เอาประกันภัย และทำให้ความเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้น
       9.2
…………………………………..
        …………………………………..

       9.5 …………………………………..


       ข้อ 9.1 ถึง 9.4 จะได้รับความคุ้มครอง เมื่อผู้เอาประกันภัยได้แจ้งให้บริษัททราบก่อนเกิดความเสียหายขึ้น และบริษัทตกลงยินยอมรับประกันภัยต่อไป ทั้งนี้ บริษัทจะออกใบสลักหลังแนบท้ายไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้

    

เรื่องต่อไป ผู้เช่าที่พักอาศัยอยู่ในบ้านเช่าถือเป็นบุคคลภายนอกอันกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายของผู้ให้เช่าสามารถให้ความคุ้มครองได้หรือไม่?



บริการ



-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com



อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/