เรื่องที่ 21 : พายุฝนฤดูร้อน - ทั้งลมพายุ ฝนตก ฟ้าผ่า และลูกเห็บเกิดในคราวเดียวกัน ประกันภัยคุ้มครองอย่างไร?
(ตอนที่ 1)
ช่วงนี้ เรามักจะพบเห็นข่าวพายุฝนฤดูร้อนสร้างความเสียหายให้แก่ชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนกันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเหตุการณ์พายุฝนฤดูร้อนนั้น มิได้เกิดแค่เพียงลมพายุ กับน้ำฝนเท่านั้น บางครั้งยังมีฟ้าผ่า ลูกเห็บตก ป้ายโฆษณาล้มทับ ต้นไม้หักโค่น ฯ เหล่านี้ ประกันภัยสามารถให้ความคุ้มครองเหตุการณ์ทั้งหมดหรือไม่? หรือจำต้องแยกแยะเป็นแต่ละภัยไป
กรณีเมื่อมีเหตุแห่งความเสียหายเกี่ยวข้องกับภัยต่าง ๆ ในคราวเดียวกัน บริษัทประกันภัยจะอาศัยหลักการประกันภัยที่เรียกว่า "หลักสาเหตุใกล้ชิด (Proximate Cause)" ในการพิจารณา ซึ่งคล้ายคลึงกับที่คนทั่วไปใช้หลัก "เหตุ" และ "ผล" นั่นเอง
ดังนั้น ก่อนจะค้นหาคำตอบ จำต้องมาทำความเข้าใจถึงหลักสาเหตุใกล้ชิดนี้เสียก่อน
เวลามีภัยเดียวก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น การพิจารณาจะง่ายมาก เช่น ไฟไหม้บ้าน ภัย หรือเหตุที่สร้างความเสียหายในที่นี้ คือ ไฟไหม้ ส่วนผลของความเสียหาย ก็คือ บ้านถูกไฟไหม้ แต่บางครั้ง ในความเป็นจริง ยังมีภัยอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก ก็จะทำให้การตีความยุ่งยากมากขึ้นเป็นลำดับ เป็นต้นว่า ขณะไฟกำลังไหม้บ้านอยู่นั้น มีพนักงานดับเพลิงใช้น้ำดับไฟ พนักงานบางคนก็ทำการทุบผนังบางส่วน เพื่อเข้าไปดับไฟได้สะดวก หรือเพื่อกันไม่ให้ไฟลุกลามไป เจ้าของบ้านก็ขนทรัพย์สินของตนเองออกมากองไว้นอกบ้าน ส่งผลทำให้ทรัพย์สินบางชิ้นแตกหักเสียหายจากการขน บางชิ้นถูกคนร้ายขโมยไป เหล่านี้ ถ้าบ้านของผู้เอาประกันภัยทำประกันอัคคีภัย ซึ่งคุ้มครองไฟไหม้เอาไว้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าวทั้งหมดแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยจากเหตุการณ์ไฟไหม้บ้านหลังนี้ จะได้รับความคุ้มครองหรือไม่? หรือจะได้รับความคุ้มครองเฉพาะที่ถูกไฟไหม้เท่านั้น
ถ้าคำตอบออกมาว่า คุ้มครองเฉพาะทรัพย์สินที่เอาประกันภัยซึ่งถูกไฟไหม้เท่านั้น คุณจะยอมรับได้หรือไม่? คุณจะคิดว่าเป็นธรรมแล้วหรือยัง? ในเมื่อกรมธรรม์ประกันภัยก็เขียนไว้ว่า จะคุ้มครองเพียงไฟไหม้เท่านั้น ไม่ได้ระบุเลยว่า คุ้มครองรวมถึงการเปียกน้ำจากการเข้าไปดับเพลิง การรื้อทำลายผนังบ้านโดยเจตนา การแตกหักจากการโยน หรือการถูกลักขโมย
ครั้นมามองอีกมุมในเรื่องของเหตุและผล ทุกอย่างล้วนมีที่มาจากจุดเดียวกัน คือ ไฟไหม้นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่มาของหลักสาเหตุใกล้ชิดของประกันภัยด้วย
ในหลักการประกันภัยทั้งหกข้อ หลักสาเหตุใกล้ชิดมักเป็นหลักข้อสุดท้าย อาจเป็นเพราะเข้าใจค่อนข้างยากหรือเปล่าไม่แน่ใจ เพราะตนเองก็รู้สึกว่า ค่อนข้างยากเวลาเมื่อจะต้องพิจารณาตีความ โชคดีที่ได้มีโอกาสเข้ามาทำงานด้านวิชาการ จึงพยายามศึกษา ค้นคว้า รวบรวม และทำความเข้าใจ จนพอสรุปเป็นหลักการที่สำคัญได้สองประการ ดังนี้
ประการแรก
ภัยหลายภัย หรือเหตุหลายเหตุในหนึ่งเหตุการณ์นั้น จะประกอบด้วย 3 ภัย ดังนี้
1.1) ภัยที่คุ้มครองตามที่ได้กำหนดไว้อย่างชัดแจ้งในกรมธรรม์ประกันภัย แทนสัญญลักษณ์เป็น "A"
1.2) ภัยที่ระบุยกเว้นไว้โดยชัดแจ้งในกรมธรรม์ประกันภัย แทนสัญญลักษณ์เป็น "B"
1.3) ภัยที่ไม่ได้เขียนว่าคุ้มครอง หรือไม่ได้ระบุยกเว้นไว้โดยชัดแจ้งในกรมธรรม์ประกันภัย แทนสัญญลักษณ์เป็น "C"
ประการที่สอง
ต้องเข้าใจว่า หลักสาเหตุใกล้ชิดจะมีอยู่ 3 ลักษณะของการเกิดเหตุ คือ
2.1) ลักษณะมีหลายภัย (เหตุ) เข้ามาเกี่ยวข้องที่เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกันไปโดยไม่ขาดตอน (Chain of Events) หรือเรียกเข้าใจให้ง่ายว่า "หลักโดมิโน" เมื่อผลักตัวแรกล้ม ตัวอื่น ๆ ที่วางเรียงต่อกัน ก็จะพลอยล้มตามไปด้วยทั้งหมด ฉะนั้น หลักการนี้ถือเหตุแรกสุดเป็นเกณฑ์ เพราะถ้าเหตุแรกสุดไม่เกิด หรือตัวแรกไม่ล้ม ก็จะไม่มีเหตุต่อ ๆ มา
2.2) ลักษณะคล้ายกับหลักโดมิโน แต่ระหว่างนั้น มีเหตุอื่นเข้ามาสอดแทรก (Intervened Events) ถ้าเหตุอื่นที่มาสอดแทรกนั้นไม่ทำให้ผลกระทบเบี่ยงเบนไป ก็ยึดเหตุแรกสุดเป็นเกณฑ์ได้ตามปกติ แต่ถ้าเหตุอื่นนั้นก่อให้เกิดผลกระทบเบี่ยงเบนไปจากเดิม ดังนั้น ผลสุดท้ายที่เกิดนั้น จึงมีสาเหตุมาจากเหตุอื่นที่เข้ามาสอดแทรกนั้นต่างหาก มิใช่เหตุแรกสุดอีกต่อไปแล้ว
2.3) ลักษณะมีหลายภัย (เหตุ) เข้ามาเกี่ยวข้อง ในเวลาพร้อมกัน หรือในเวลาเดียวกัน (Concurrent Events) ถือว่า ทุกภัยมีน้ำหนักเท่ากัน
การที่พิจารณาตีความหลักสาเหตุใกล้ชิดจะอาศัยภัยหลายภัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องนั้น ประกอบด้วยภัยอะไรบ้าง? เป็น A, B และ/หรือ C และลักษณะของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น มีลักษณะแบบใด? โดมิโน สอดแทรก หรือเกิดพร้อมกัน
สัปดาห์หน้า เราจะมานำตัวอย่างมาทดลองกันดูนะครับ เพื่อค้นหาคำตอบตามหัวเรื่อง
วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559
วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559
เรื่องที่ 20 : ภัยแล้งเอาประกันภัยได้หรือไม่?
ขณะนี้บ้านเรา และประเทศเพื่อนบ้านเราต่างก็ประสบปัญหาจากภัยแล้งกันถ้วนหน้า ทำให้เกิดคำถามว่า ภัยแล้งซึ่งเป็นภัยธรรมชาติลักษณะหนึ่ง อันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของสภาพภูมิอากาศที่เรียกว่า "Extreme Weather" นั้น สามารถจะเอาประกันภัยได้หรือไม่ เหมือนดังเช่นภัยธรรมชาติอื่น ๆ เป็นต้นว่า ภัยน้ำท่วม ภัยลมพายุ
ด้วยลักษณะที่แตกต่างออกไปของภัยแล้งจากภัยน้ำท่วม หรือภัยลมพายุ ในแง่ของการประกันภัยมองว่า ภัยแล้งนั้นไม่เข้าองค์ประกอบที่สำคัญในคำนิยาม "อุบัติเหตุ" ของการประกันภัย ดังนี้
1) ต้องเกิดขึ้นโดยฉับพลัน
ผลกระทบของภัยแล้งนั้น มิได้เกิดขึ้นโดยตรงอย่างฉับพลัน ลักษณะค่อย ๆ ส่งผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำ ทำให้โดยเฉพาะผลผลิตทางการเกษตร หรือการปศุสัตว์ลดปริมาณ หรือด้อยคุณภาพลงไป ลักษณะความเสียหายจะส่งผลกระทบโดยอ้อมมากกว่า
2) ผู้เอาประกันภัยมิได้เจตนา หรือมุ่งหวัง
แม้ภัยแล้งเกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่ผู้เอาประกันภัยสามารถคาดหวังผลกระทบที่จะเกิดขึ้นแก่ตนได้ มีเวลาเพียงพอที่จะบริหารจัดการทุเลาล่วงหน้าได้
เมื่อไม่เข้าองค์ประกอบของ "อุบัติเหตุ" ดังกล่าว บริษัทประกันภัยจึงไม่อาจพิจารณารับประกันภัยได้ ทั้งยังประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ยากอีกด้วย เว้นแต่ในการประกันภัยพืชผล ซึ่งอาศัยดัชนีของน้ำฝนเป็นเกณฑ์ชี้วัดความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยตรง
สำหรับการประกันภัยประเภทอื่น ภัยแล้งมักจะส่งผลกระทบโดยอ้อมมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น
(1) ภัยไฟป่า มีปัจจัยทำให้เกิดได้ง่ายขึ้น เพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้นกว่าปกติ ซึ่งภายใต้การประกันอัคคีภัย หรือการประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินล้วนต่างให้ความคุ้มครองภัยไฟป่าอยู่แล้ว
(2) ภัยถนนแยก ดินยุบ เราได้เห็นภาพข่าวลักษณะนี้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากชั้นดินข้างล่างเกิดเป็นโพรงจากน้ำใต้ดิน พอน้ำเหือดแห้งหายไป ก่อให้เกิดเป็นโพรง ส่งผลทำให้ถนนแยก ดินยุบตัวลงไป ซึ่งภัยลักษณะนี้ มิได้เกิดขึ้นโดยฉับพลัน แม้บางท่านอาจเห็นอยู่ ๆ มันก็ยุบตัวลงทันที แต่อันที่จริง มันค่อย ๆ เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้นแล้ว จึงไม่ถือเป็นอุบัติเหตุที่บริษัทประกันภัยจะให้ความคุ้มครองได้ กระทั่งในกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ซึ่งให้ความคุ้มครองแบบสรรพภัย ก็ได้ระบุเป็นข้อยกเว้นเอาไว้
ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ประสบปัญหาจากเหตุของดินยุบตัวที่เรียกว่า "sink hole" ค่อนข้างมาก แม้มิได้เกิดขึ้นบ่อย แต่มักสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง และมิได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยเช่นกัน จนทำให้บางรัฐ จำต้องตรากฎหมายพิเศษกำหนดให้บริษัทประกันภัยขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมที่เรียกว่า "catastrophe ground cover collapse" โดยเฉพาะกับบ้านอยู่อาศัย เนื่องด้วยเทคโนโลยี่ปัจจุบัน ยังไม่มีเครื่องมือในการตรวจสอบว่า จุดใดมีความเสี่ยงภัยนี้หรือไม่
(3) ภัยน้ำท่วมอย่างเฉียบพลัน ภัยโคลนถล่ม และภัยดินถล่ม จากการวิเคราะห์ศึกษาของผู้เชี่ยวชาญ ประเมินว่า หลังจากภัยแล้งสิ้นสุดลงแล้ว พอมีฝนตกลงมา มักจะมีความเสี่ยงภัยเพิ่มสูงขึ้นจากภัยน้ำท่วมอย่างเฉียบพลัน ภัยโคลนถล่ม และภัยดินถล่ม เพราะไม้ยืนต้น และพืชปกคลุมดินได้แห้งตายไปจากภัยแล้งอย่างมากมาย เมื่อน้ำฝนตกลงมามาก ก็ไม่มีสิ่งใดมาชะลอการไหลของน้ำได้ จึงฝากเตือนให้ประชาชนที่อยู่ในเส้นทางน้ำไหล หรือเชิงเขาให้ระมัดระวัง
(4) ผลกระทบของห่วงโซ่อุปทาน Supply Chain) ซึ่งมิได้ส่งผลต่อการประกันภัยทรัพย์สิน แต่จะเป็นในส่วนของการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก เพราะภัยแล้งมิได้สร้างความเสียหายโดยตรงแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย แต่ผลกระทบโดยอ้อมของธุรกิจที่อาศัยวัตถุดิบจากพืชผลการเกษตร หรือการปศุสัตว์ หรืออุตสาหกรรมที่ใช้น้ำค่อนข้างมาก อาจได้รับผลกระทบจนทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักลงไป กำไรลดลงไปจากที่ตั้งเป้าไว้ ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติได้
ในอดีตเคยมีการขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมในเรื่องของภัยแล้ง (Drought) ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก แต่ปัจจุบันนี้ ไม่ใคร่มีบริษัทประกันภัยไหนหาญกล้าที่จะขยายให้แล้ว เพราะในทางปฎิบัติประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ยากมาก ด้วยลักษณะของความเสี่ยงภัยไม่ชัดเจนเหมือนดังเช่นการขยายความคุ้มครองไปถึงภัยเพิ่มเติมอื่น ๆ ของการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก ที่แม้ไม่เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยก็ตาม อย่างเช่น Infectious Diseases, Murder & Suicide, Bomb Threats, Utilities เป็นต้น
ขณะนี้บ้านเรา และประเทศเพื่อนบ้านเราต่างก็ประสบปัญหาจากภัยแล้งกันถ้วนหน้า ทำให้เกิดคำถามว่า ภัยแล้งซึ่งเป็นภัยธรรมชาติลักษณะหนึ่ง อันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของสภาพภูมิอากาศที่เรียกว่า "Extreme Weather" นั้น สามารถจะเอาประกันภัยได้หรือไม่ เหมือนดังเช่นภัยธรรมชาติอื่น ๆ เป็นต้นว่า ภัยน้ำท่วม ภัยลมพายุ
ด้วยลักษณะที่แตกต่างออกไปของภัยแล้งจากภัยน้ำท่วม หรือภัยลมพายุ ในแง่ของการประกันภัยมองว่า ภัยแล้งนั้นไม่เข้าองค์ประกอบที่สำคัญในคำนิยาม "อุบัติเหตุ" ของการประกันภัย ดังนี้
1) ต้องเกิดขึ้นโดยฉับพลัน
ผลกระทบของภัยแล้งนั้น มิได้เกิดขึ้นโดยตรงอย่างฉับพลัน ลักษณะค่อย ๆ ส่งผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำ ทำให้โดยเฉพาะผลผลิตทางการเกษตร หรือการปศุสัตว์ลดปริมาณ หรือด้อยคุณภาพลงไป ลักษณะความเสียหายจะส่งผลกระทบโดยอ้อมมากกว่า
2) ผู้เอาประกันภัยมิได้เจตนา หรือมุ่งหวัง
แม้ภัยแล้งเกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่ผู้เอาประกันภัยสามารถคาดหวังผลกระทบที่จะเกิดขึ้นแก่ตนได้ มีเวลาเพียงพอที่จะบริหารจัดการทุเลาล่วงหน้าได้
เมื่อไม่เข้าองค์ประกอบของ "อุบัติเหตุ" ดังกล่าว บริษัทประกันภัยจึงไม่อาจพิจารณารับประกันภัยได้ ทั้งยังประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ยากอีกด้วย เว้นแต่ในการประกันภัยพืชผล ซึ่งอาศัยดัชนีของน้ำฝนเป็นเกณฑ์ชี้วัดความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยตรง
สำหรับการประกันภัยประเภทอื่น ภัยแล้งมักจะส่งผลกระทบโดยอ้อมมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น
(1) ภัยไฟป่า มีปัจจัยทำให้เกิดได้ง่ายขึ้น เพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้นกว่าปกติ ซึ่งภายใต้การประกันอัคคีภัย หรือการประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินล้วนต่างให้ความคุ้มครองภัยไฟป่าอยู่แล้ว
(2) ภัยถนนแยก ดินยุบ เราได้เห็นภาพข่าวลักษณะนี้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากชั้นดินข้างล่างเกิดเป็นโพรงจากน้ำใต้ดิน พอน้ำเหือดแห้งหายไป ก่อให้เกิดเป็นโพรง ส่งผลทำให้ถนนแยก ดินยุบตัวลงไป ซึ่งภัยลักษณะนี้ มิได้เกิดขึ้นโดยฉับพลัน แม้บางท่านอาจเห็นอยู่ ๆ มันก็ยุบตัวลงทันที แต่อันที่จริง มันค่อย ๆ เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้นแล้ว จึงไม่ถือเป็นอุบัติเหตุที่บริษัทประกันภัยจะให้ความคุ้มครองได้ กระทั่งในกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ซึ่งให้ความคุ้มครองแบบสรรพภัย ก็ได้ระบุเป็นข้อยกเว้นเอาไว้
ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ประสบปัญหาจากเหตุของดินยุบตัวที่เรียกว่า "sink hole" ค่อนข้างมาก แม้มิได้เกิดขึ้นบ่อย แต่มักสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง และมิได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยเช่นกัน จนทำให้บางรัฐ จำต้องตรากฎหมายพิเศษกำหนดให้บริษัทประกันภัยขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมที่เรียกว่า "catastrophe ground cover collapse" โดยเฉพาะกับบ้านอยู่อาศัย เนื่องด้วยเทคโนโลยี่ปัจจุบัน ยังไม่มีเครื่องมือในการตรวจสอบว่า จุดใดมีความเสี่ยงภัยนี้หรือไม่
(3) ภัยน้ำท่วมอย่างเฉียบพลัน ภัยโคลนถล่ม และภัยดินถล่ม จากการวิเคราะห์ศึกษาของผู้เชี่ยวชาญ ประเมินว่า หลังจากภัยแล้งสิ้นสุดลงแล้ว พอมีฝนตกลงมา มักจะมีความเสี่ยงภัยเพิ่มสูงขึ้นจากภัยน้ำท่วมอย่างเฉียบพลัน ภัยโคลนถล่ม และภัยดินถล่ม เพราะไม้ยืนต้น และพืชปกคลุมดินได้แห้งตายไปจากภัยแล้งอย่างมากมาย เมื่อน้ำฝนตกลงมามาก ก็ไม่มีสิ่งใดมาชะลอการไหลของน้ำได้ จึงฝากเตือนให้ประชาชนที่อยู่ในเส้นทางน้ำไหล หรือเชิงเขาให้ระมัดระวัง
(4) ผลกระทบของห่วงโซ่อุปทาน Supply Chain) ซึ่งมิได้ส่งผลต่อการประกันภัยทรัพย์สิน แต่จะเป็นในส่วนของการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก เพราะภัยแล้งมิได้สร้างความเสียหายโดยตรงแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย แต่ผลกระทบโดยอ้อมของธุรกิจที่อาศัยวัตถุดิบจากพืชผลการเกษตร หรือการปศุสัตว์ หรืออุตสาหกรรมที่ใช้น้ำค่อนข้างมาก อาจได้รับผลกระทบจนทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักลงไป กำไรลดลงไปจากที่ตั้งเป้าไว้ ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติได้
ในอดีตเคยมีการขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมในเรื่องของภัยแล้ง (Drought) ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก แต่ปัจจุบันนี้ ไม่ใคร่มีบริษัทประกันภัยไหนหาญกล้าที่จะขยายให้แล้ว เพราะในทางปฎิบัติประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ยากมาก ด้วยลักษณะของความเสี่ยงภัยไม่ชัดเจนเหมือนดังเช่นการขยายความคุ้มครองไปถึงภัยเพิ่มเติมอื่น ๆ ของการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก ที่แม้ไม่เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยก็ตาม อย่างเช่น Infectious Diseases, Murder & Suicide, Bomb Threats, Utilities เป็นต้น
วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559
เรื่องที่ 19 : ข้อยกเว้นที่ไม่ใช่ข้อยกเว้น เงื่อนไขที่ไม่ใช่เงื่อนไข ตกลงเป็นข้อยกเว้น หรือเงื่อนไขกันแน่?
(ตอนที่แปด)
อันที่จริงเงื่อนไขข้อที่ 9.5 ดูไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นในหัวข้อที่หยิบยกมาพูดกันไปแล้วในข้อที่ 9.1 ถึง 9.4 เพียงแต่บังเอิญเป็นข้อที่มาอยู่ภายใต้เงื่อนไขนี้เท่านั้นเอง จึงขอแสดงความคิดเห็นพร้อมกันไปด้วย
เงื่อนไขข้อที่ 9.5 นี้ ซึ่งระบุว่า
"9.5 ผู้เอาประกันภัยไม่ชำระเบี้ยประกันภัย เมื่อพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันเริ่มต้นระยะเวลาเอาประกันภัย โดยให้กรมธรรม์ประกันภัยสิ้นผลนับแต่วันที่ครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว"
เดิมทีไม่มี แต่เพิ่งถูกนำใส่เข้ามาใหม่เพิ่มเติมในกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินฉบับล่าสุด ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป โดยกำหนดให้เสมือนเป็นเงื่อนไขเด็ดขาด เพราะในย่อหน้าท้ายของเงื่อนไขนี้ ที่จะยืดหยุ่นให้สำหรับการทำผิดเงื่อนไขตั้งแต่ข้อที่ 9.1 ถึง 9.4 ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากบริษัทประกันภัยก่อนเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วเท่านั้น โดยมิได้ยืดหยุ่นให้แก่ข้อ 9.5 เลย
แม้ถือเป็นเจตนาที่ดี เพื่อเร่งให้บริษัทประกันภัยออกกรมธรรม์ประกันภัยเร็วขึ้น ผู้เอาประกันภัยจะได้ชำระเบี้ยประกันภัยเร็วขึ้นตามไปด้วย เนื่องด้วยในทางปฎิบัติ กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินนั้นมักเป็นกรณีที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างสูง ถึงสูงมาก มีรายละเอียด และการขยายเงื่อนไขพิเศษต่าง ๆ อีกมากมาย รวมทั้งการจัดทำประกันภัยต่อ หรือกระทั่งการเอาประกันภัยร่วมกันระหว่างหลายบริษัทประกันภัยด้วยกัน จึงใช้ระยะเวลาออกกรมธรรม์ประกันภัย กินเวลานับเดือน หรือหลายเดือน ฉะนั้น เมื่อออกกรมธรรม์ประกันภัยช้า กว่าจะส่งถึงมือคนกลางประกันภัย หรือผู้เอาประกันภัยตรวจสอบความถูกต้อง อาจต้องแก้ไขคำผิดตกหล่นกันไปมาหลายครั้ง เมื่อถูกต้องทั้งหมดแล้ว ผู้เอาประกันภัยจึงจะพิจารณาชำระเบี้ยประกันภัยให้ บางรายก็นับช่วงเวลาการให้เครดิตชำระเบี้ยประกันภัยตั้งแต่วันที่ได้รับกรมธรรม์ประกันภัยที่ถูกต้องครบถ้วนแล้วเท่านั้น ผมรู้สึกแปลกใจว่า นำเงื่อนไขข้อที่ 9.5 มาใส่ไว้ ในทางปฎิบัติจะสามารถทำได้จริงอย่างที่คิดกันหรือไม่ ทั้งยังเกิดคำถามขึ้นในใจ ดังนี้
1) ถ้าในช่วง 60 วันที่ให้เครดิตในการชำระเบี้ยประกันภัยดังกล่าว หากมีความเสียหายจากภัยที่คุ้มครองเกิดขึ้น บริษัทประกันภัยจำต้องรับผิดชดใช้ไป ทั้งที่ผู้เอาประกันภัยยังมิได้ชำระเบี้ยประกันภัยใช่หรือไม่?
2) ครั้นเมื่อบริษัทประกันภัยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว พอเลยกำหนด 60 วันดังกล่าว ผู้เอาประกันภัยยังละเลยไม่ชำระเบี้ยประกันภัยให้อีก กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ก็จะสิ้นสุดความคุ้มครองลง
2.1) บริษัทประกันภัยจะสามารถทวงเบี้ยประกันภัยอีกได้หรือไม่?
2.2) บริษัทประกันภัยจะสามารถเรียกคืนค่าสินไหมทดแทนที่ได้
จ่ายไปแล้วได้หรือไม่?
2.3) ผู้เอาประกันภัยจะถือโอกาสชำระเบี้ยประกันภัยเพียงตาม
ส่วนของระยะเวลา 60 วันได้หรือไม่? หากไปชำระเอาเมื่อ
เลยกำหนด 60 วันไปแล้ว และกรมธรรม์ประกันภัยก็สิ้นผล
บังคับไปแล้วด้วย
3) ผู้รับประกันภัยต่อยอมรับเงื่อนไขนี้ด้วยหรือไม่? เพราะปกติแล้ว
ถ้าไม่ได้รับชำระเบี้ยประกันภัยต่อ เขาก็จะปฎิเสธความรับผิดชอบ
4) ผมแปลกใจมาก ๆ ที่ทำไมการใช้ถ้อยคำของเงื่อนไขนี้ถึงมีความแตกต่างกันมากมายกับกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย ซึ่งระบุไว้ ดังนี้
4.1) ในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัย รวมภัย
ธรรมชาติ ฉบับล่าสุด เขียนไว้ในเงื่อนไขข้อที่ 6.13 การ
ระงับไปแห่งสัญญาประกันภัย โดยใช้ถ้อยคำว่า
"6.13.3 ผู้เอาประกันภัยไม่ชำระเบี้ยประกันภัยเมื่อพ้น
กำหนด 60 วัน นับแต่วันเริ่มต้นระยะเวลาเอาประกันภัย โดย
ให้กรมธรรม์ประกันภัยสิ้นผลนับแต่วันที่ครบกำหนดระยะ
เวลาดังกล่าว"
(ไม่ยืดหยุ่นให้เช่นกัน)
4.2) ในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยทั่วไป เขียนไว้ในเงื่อนไขข้อที่
6 การระงับไปแห่งสัญญาประกันภัยเช่นกัน ดังนี้
"6.5 ผู้เอาประกันภัยไม่ชำระเบี้ยประกันภัยเมื่อพ้นกำหนด
60 วัน นับแต่วันเริ่มต้นระยะเวลาเอาประกันภัย
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขข้อ 6 นี้ (ทุกข้อตั้งแต่ข้อที่ 6.1 ถึง
6.5) จะไม่นำมาบังคับใช้ หากผู้เอาประกันภัยได้แจ้งให้
บริษัททราบ และบริษัทตกลงยินยอมรับประกันภัยต่อไป
โดยได้บันทึกการแก้ไขแสดงไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับ
นี้แล้ว"
ทำไมการใช้ถ้อยคำถึงไม่นำของกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยทั่วไปมาเป็นต้นแบบอ้างอิง ถ้าเห็นว่า มีความจำเป็น เพราะลักษณะความเสี่ยงภัยของผู้เอาประกันภัยมีความใกล้เคียงกันมากกว่า เพียงแต่ความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยทั่วไปมิใช่เป็นแบบสรรพภัยเท่านั้น ทั้งยังเปิดโอกาสให้สามารถยืดหยุ่นกันได้ทุกข้อ แต่นี่กลับไปเอาของบ้านอยู่อาศัย ซึ่งลักษณะความเสี่ยงภัยน้อยกว่ามาใช้อ้างอิงแทน
ข้อน่าสังเกตอีกประเด็นหนึ่ง ก็คือ เวลาผมอ่านถ้อยคำตรงที่ขีดเส้นใต้ในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยทั่วไปแล้ว ผมอยากจะตีความเสมือนหนึ่งจะสื่อความหมายว่า เมื่อครบกำหนด 60 วันแล้ว ผู้เอาประกันภัยก็ยังไม่ชำระเบี้ยประกันภัยอีก ความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยจะสิ้นสุดย้อนหลังไปตั้งแต่วันแรก เพราะมิได้เขียนไว้อย่างชัดแจ้งเหมือนอย่างในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัย รวมภัยธรรมชาติ และกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน
คุณเห็นเช่นนั้นหรือเปล่าครับ?
ปัญหาต่าง ๆ ที่หยิบยกขึ้นมา ก็เพื่อให้มุมมองเพิ่มเติมเท่านั้น ส่วนเรื่องการรับความเสี่ยงภัย ก็เป็นเรื่องระหว่างผู้ที่รับความเสี่ยงภัยทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นผู้เอาประกันภัย คนกลางประกันภัย บริษัทประกันภัย หรือกระทั่งผู้รับประกันภัยต่อจะต้องเป็นผู้พิจารณาตัดสินใจเองเป็นสำคัญแล้วล่ะครับ ผมคงขอแสดงความห่วงใยไว้เพียงเท่านี้ครับ
(ตอนที่แปด)
อันที่จริงเงื่อนไขข้อที่ 9.5 ดูไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นในหัวข้อที่หยิบยกมาพูดกันไปแล้วในข้อที่ 9.1 ถึง 9.4 เพียงแต่บังเอิญเป็นข้อที่มาอยู่ภายใต้เงื่อนไขนี้เท่านั้นเอง จึงขอแสดงความคิดเห็นพร้อมกันไปด้วย
เงื่อนไขข้อที่ 9.5 นี้ ซึ่งระบุว่า
"9.5 ผู้เอาประกันภัยไม่ชำระเบี้ยประกันภัย เมื่อพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันเริ่มต้นระยะเวลาเอาประกันภัย โดยให้กรมธรรม์ประกันภัยสิ้นผลนับแต่วันที่ครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว"
เดิมทีไม่มี แต่เพิ่งถูกนำใส่เข้ามาใหม่เพิ่มเติมในกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินฉบับล่าสุด ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป โดยกำหนดให้เสมือนเป็นเงื่อนไขเด็ดขาด เพราะในย่อหน้าท้ายของเงื่อนไขนี้ ที่จะยืดหยุ่นให้สำหรับการทำผิดเงื่อนไขตั้งแต่ข้อที่ 9.1 ถึง 9.4 ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากบริษัทประกันภัยก่อนเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วเท่านั้น โดยมิได้ยืดหยุ่นให้แก่ข้อ 9.5 เลย
แม้ถือเป็นเจตนาที่ดี เพื่อเร่งให้บริษัทประกันภัยออกกรมธรรม์ประกันภัยเร็วขึ้น ผู้เอาประกันภัยจะได้ชำระเบี้ยประกันภัยเร็วขึ้นตามไปด้วย เนื่องด้วยในทางปฎิบัติ กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินนั้นมักเป็นกรณีที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างสูง ถึงสูงมาก มีรายละเอียด และการขยายเงื่อนไขพิเศษต่าง ๆ อีกมากมาย รวมทั้งการจัดทำประกันภัยต่อ หรือกระทั่งการเอาประกันภัยร่วมกันระหว่างหลายบริษัทประกันภัยด้วยกัน จึงใช้ระยะเวลาออกกรมธรรม์ประกันภัย กินเวลานับเดือน หรือหลายเดือน ฉะนั้น เมื่อออกกรมธรรม์ประกันภัยช้า กว่าจะส่งถึงมือคนกลางประกันภัย หรือผู้เอาประกันภัยตรวจสอบความถูกต้อง อาจต้องแก้ไขคำผิดตกหล่นกันไปมาหลายครั้ง เมื่อถูกต้องทั้งหมดแล้ว ผู้เอาประกันภัยจึงจะพิจารณาชำระเบี้ยประกันภัยให้ บางรายก็นับช่วงเวลาการให้เครดิตชำระเบี้ยประกันภัยตั้งแต่วันที่ได้รับกรมธรรม์ประกันภัยที่ถูกต้องครบถ้วนแล้วเท่านั้น ผมรู้สึกแปลกใจว่า นำเงื่อนไขข้อที่ 9.5 มาใส่ไว้ ในทางปฎิบัติจะสามารถทำได้จริงอย่างที่คิดกันหรือไม่ ทั้งยังเกิดคำถามขึ้นในใจ ดังนี้
1) ถ้าในช่วง 60 วันที่ให้เครดิตในการชำระเบี้ยประกันภัยดังกล่าว หากมีความเสียหายจากภัยที่คุ้มครองเกิดขึ้น บริษัทประกันภัยจำต้องรับผิดชดใช้ไป ทั้งที่ผู้เอาประกันภัยยังมิได้ชำระเบี้ยประกันภัยใช่หรือไม่?
2) ครั้นเมื่อบริษัทประกันภัยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว พอเลยกำหนด 60 วันดังกล่าว ผู้เอาประกันภัยยังละเลยไม่ชำระเบี้ยประกันภัยให้อีก กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ก็จะสิ้นสุดความคุ้มครองลง
2.1) บริษัทประกันภัยจะสามารถทวงเบี้ยประกันภัยอีกได้หรือไม่?
2.2) บริษัทประกันภัยจะสามารถเรียกคืนค่าสินไหมทดแทนที่ได้
จ่ายไปแล้วได้หรือไม่?
2.3) ผู้เอาประกันภัยจะถือโอกาสชำระเบี้ยประกันภัยเพียงตาม
ส่วนของระยะเวลา 60 วันได้หรือไม่? หากไปชำระเอาเมื่อ
เลยกำหนด 60 วันไปแล้ว และกรมธรรม์ประกันภัยก็สิ้นผล
บังคับไปแล้วด้วย
3) ผู้รับประกันภัยต่อยอมรับเงื่อนไขนี้ด้วยหรือไม่? เพราะปกติแล้ว
ถ้าไม่ได้รับชำระเบี้ยประกันภัยต่อ เขาก็จะปฎิเสธความรับผิดชอบ
4) ผมแปลกใจมาก ๆ ที่ทำไมการใช้ถ้อยคำของเงื่อนไขนี้ถึงมีความแตกต่างกันมากมายกับกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย ซึ่งระบุไว้ ดังนี้
4.1) ในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัย รวมภัย
ธรรมชาติ ฉบับล่าสุด เขียนไว้ในเงื่อนไขข้อที่ 6.13 การ
ระงับไปแห่งสัญญาประกันภัย โดยใช้ถ้อยคำว่า
"6.13.3 ผู้เอาประกันภัยไม่ชำระเบี้ยประกันภัยเมื่อพ้น
กำหนด 60 วัน นับแต่วันเริ่มต้นระยะเวลาเอาประกันภัย โดย
ให้กรมธรรม์ประกันภัยสิ้นผลนับแต่วันที่ครบกำหนดระยะ
เวลาดังกล่าว"
(ไม่ยืดหยุ่นให้เช่นกัน)
4.2) ในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยทั่วไป เขียนไว้ในเงื่อนไขข้อที่
6 การระงับไปแห่งสัญญาประกันภัยเช่นกัน ดังนี้
"6.5 ผู้เอาประกันภัยไม่ชำระเบี้ยประกันภัยเมื่อพ้นกำหนด
60 วัน นับแต่วันเริ่มต้นระยะเวลาเอาประกันภัย
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขข้อ 6 นี้ (ทุกข้อตั้งแต่ข้อที่ 6.1 ถึง
6.5) จะไม่นำมาบังคับใช้ หากผู้เอาประกันภัยได้แจ้งให้
บริษัททราบ และบริษัทตกลงยินยอมรับประกันภัยต่อไป
โดยได้บันทึกการแก้ไขแสดงไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับ
นี้แล้ว"
ทำไมการใช้ถ้อยคำถึงไม่นำของกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยทั่วไปมาเป็นต้นแบบอ้างอิง ถ้าเห็นว่า มีความจำเป็น เพราะลักษณะความเสี่ยงภัยของผู้เอาประกันภัยมีความใกล้เคียงกันมากกว่า เพียงแต่ความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยทั่วไปมิใช่เป็นแบบสรรพภัยเท่านั้น ทั้งยังเปิดโอกาสให้สามารถยืดหยุ่นกันได้ทุกข้อ แต่นี่กลับไปเอาของบ้านอยู่อาศัย ซึ่งลักษณะความเสี่ยงภัยน้อยกว่ามาใช้อ้างอิงแทน
ข้อน่าสังเกตอีกประเด็นหนึ่ง ก็คือ เวลาผมอ่านถ้อยคำตรงที่ขีดเส้นใต้ในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยทั่วไปแล้ว ผมอยากจะตีความเสมือนหนึ่งจะสื่อความหมายว่า เมื่อครบกำหนด 60 วันแล้ว ผู้เอาประกันภัยก็ยังไม่ชำระเบี้ยประกันภัยอีก ความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยจะสิ้นสุดย้อนหลังไปตั้งแต่วันแรก เพราะมิได้เขียนไว้อย่างชัดแจ้งเหมือนอย่างในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัย รวมภัยธรรมชาติ และกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน
คุณเห็นเช่นนั้นหรือเปล่าครับ?
ปัญหาต่าง ๆ ที่หยิบยกขึ้นมา ก็เพื่อให้มุมมองเพิ่มเติมเท่านั้น ส่วนเรื่องการรับความเสี่ยงภัย ก็เป็นเรื่องระหว่างผู้ที่รับความเสี่ยงภัยทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นผู้เอาประกันภัย คนกลางประกันภัย บริษัทประกันภัย หรือกระทั่งผู้รับประกันภัยต่อจะต้องเป็นผู้พิจารณาตัดสินใจเองเป็นสำคัญแล้วล่ะครับ ผมคงขอแสดงความห่วงใยไว้เพียงเท่านี้ครับ
วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559
เรื่องที่ 19 : ข้อยกเว้นที่ไม่ใช่ข้อยกเว้น เงื่อนไขที่ไม่ใช่เงื่อนไข ตกลงเป็นข้อยกเว้น หรือเงื่อนไขกันแน่?
(ตอนที่เจ็ด)
จากที่เราคุยกันมาในเงื่อนไขข้อที่ 9.1 ถึง 9.4 หากคุณอ่านแล้วตีความ การทำผิดเงื่อนไขข้อหนึ่งข้อใด ส่งผลทำให้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยทั้งฉบับต้องสิ้นสุดลงตามที่กำหนดไว้ นั่นคือ ถือเป็นเงื่อนไข แต่ถ้าคุณตีความเพียงเป็นการส่งผลทำให้ไม่คุ้มครองเฉพาะกรณี หรือเฉพาะทรัพย์สินที่เอาประกันภัยบางอัน นั่นหมายความเป็นเพียงข้อยกเว้นเท่านั้น ส่วนอื่นที่ไม่ได้รับผลกระทบ ก็ยังคงคุ้มครองต่อ ทำไมประเด็นเงื่อนไขนี้ ถึงไม่เคยได้รับฟังว่า เคยเป็นประเด็นข้อโต้แย้ง เพราะโชคดีที่ส่วนใหญ่ตีความให้เป็นเพียงข้อยกเว้นหรือเปล่า? แต่ถ้ามิได้โชคดีถึงขนาดนั้น เวลาเกิดความเสียหายขึ้นมา กรรมนั้นจะตกแก่ผู้ใด?
ก่อนอื่น เราลองมาทบทวนเงื่อนไขดังกล่าวกันอีกครั้ง
ก) ย่อหน้าแรกที่ระบุว่า "ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เป็นอันระงับไปทันทีเมื่อ"
ไม่ชัดเจนว่า หมายความถึง ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยต้องสิ้นสุดลงไปบางส่วน หรือทั้งฉบับ สมมุติต้องสิ้นสุดลงทั้งฉบับภายหลังจากทำประกันภัยไปได้เพียงสามเดือน เบี้ยประกันภัยที่ชำระไว้เต็มปี จะขอเรียกคืนเบี้ยประกันภัยส่วนที่เหลืออีกเก้าเดือนจากบริษัทประกันภัยได้หรือไม่? ผมเคยยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูด แต่มีความเห็นแตกต่างเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกมองว่า เป็นการทำผิดเงื่อนไขของผู้เอาประกันภัยเอง บริษัทประกันภัยไม่จำต้องคืนเบี้ยประกันภัยส่วนที่เหลือให้ แต่กลุ่มที่สอง บอกว่า ไม่เป็นธรรม ควรต้องคืนให้เขาไป ส่วนตัวของผมเห็นคล้อยตามกลุ่มที่สองครับ มิฉะนั้น ทะเลาะกันยาวแน่ครับ
ข) ข้อที่ 9.1 การเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลทำให้มีความเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้นนั้น ไม่ชัดเจนว่า ต้องเปลี่ยนแปลงถึงขนาดเป็นการถาวร หรือเพียงชั่วคราว แนวคำพิพากษาศาลต่างประเทศ ก็ออกมาทั้งคู่ ในคู่มือตีความของประเทศอังกฤษเขียนว่า ต้องถาวรเท่านั้น ถ้าตีความเช่นนั้น กรมธรรม์ประกันภัยทั้งฉบับต้องสิ้นสุดลง ก็ยอมรับกันได้ แต่ถ้าชั่วคราว อาจดูโหดร้ายเกินไป แค่เพียงไม่คุ้มครองในช่วงเวลานั้นน่าจะพอแล้ว ครั้นพอกลับคืนสู่สภาพเดิม ก็มาคุ้มครองต่อเนื่องไปได้เลย ไม่เห็นจำเป็นจะต้องให้ผู้เอาประกันภัยไปซื้อกรมธรรม์ประกันภัยใหม่อีก
ผมค่อนข้างกังวลกับการตีความว่า อะไรที่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงถึงขนาดทำให้มีความเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้น ผู้เอาประกันภัยอาจนึกไม่ถึงว่า มีความเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้นมากมายอะไร แต่บริษัทประกันภัยอาจไม่คิดเช่นนั้นก็ได้ เคยอ่านข้อพิพาทในต่างประเทศ การนำคนเข้ามาอยู่ในบ้านเพิ่มขึ้น ก็ทำให้เกิดโต้แย้งประเด็นนี้กันแล้ว จึงห่วงที่ปัจจุบันมีโครงการให้คนเข้ามาเช่าพักอยู่ในบ้านได้ ซึ่งเริ่มเป็นที่สนใจทำกันบ้างแล้วในบ้านเรา หรือแม้กระทั่ง โยงไปถึงเรื่องของประกันภัยรถยนต์ที่มีรถบ้านไปเข้าร่วมโครงการนำรถไปรับจ้างเป็นครั้งคราวนั้น ผมขอแนะนำให้รีบไปตรวจสอบกับบริษัทประกันภัยที่ใช้บริการอยู่ให้มั่นใจก่อนนะครับว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา เขาจะไม่ถือว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงถึงขนาดทำให้มีความเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้น
ค) ข้อที่ 9.2 การปราศจากผู้อยู่อาศัย หรือผู้ดูแลติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 30 วัน สมมุติผู้เอาประกันภัยกลับมาอยู่อาศัยดังเดิมในวันที่ 35 กรมธรรม์ประกันภัยยังคงให้ความคุ้มครองต่อเนื่องไปหรือเปล่า? ถ้าใช่ มันก็ถือเป็นเพียงข้อยกเว้น เช่นนั้น ทำไมไม่กำหนดให้ชัดเจนให้เป็นข้อยกเว้นเหมือนดั่งกรมธรรม์ระกันภัยโจรกรรมเสียเลยเล่า
ฆ) ข้อที่ 9.3 การโยกย้ายทรัพย์สินที่เอาประกันภัยออกไปจากสถานที่เอาประกันภัย มิได้ระบุชัดเจนว่า ต้องเป็นการโยกย้ายจำนวนกี่ชิ้น นำออกไปเพียงชิ้นเดียว แล้วส่งผลทำให้ความคุ้มครองทั้งหมดของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยซึ่งยังคงอยู่ ต้องสิ้นสุดลงไปด้วย มันถูกต้อง และเป็นธรรมหรือไม่? สมมุติ ถ้าตัดเงื่อนไขข้อนี้ออกไปเลย ผลของการตีความจะชัดเจนกว่าไหม?
ง) ข้อที่ 9.4 การเปลี่ยนแปลงส่วนได้เสียของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย (ยกเว้นกรณีพินัยกรรม หรือเข้าข้อบังคับตามกฎหมายอื่นใด) เป็นต้นว่า การซื้อขาย ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่เขียนเงื่อนไขข้อนี้เอาไว้เลย การตีความว่า ถ้าผู้เอาประกันภัยขายทรัพย์สินที่เอาประกันภัยออกไปบางชิ้น จะส่งผลทำให้กรมธรรม์ประกันภัยทั้งฉบับต้องสิ้นสุด หรือจะไม่คุ้มครองเฉพาะชิ้นนั้นเอง ง่ายขึ้นกว่าไหม? หรือกระทั่งจะเขียนให้ชัดเจนไปเลยเหมือนอย่างในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัย หรือกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ เพราะถ้ายังคลุมเครือ ผู้เอาประกันภัยที่ทำธุรกิจซื้อมา ขายไป ก็คงมีประเด็นต่อไปไม่รู้จบ
ถึงแม้ในย่อหน้าสุดท้ายของเงื่อนไขนี้ จะเปิดช่องให้ขอความเห็นชอบล่วงหน้าจากบริษัทประกันภัยได้ แต่จะมีใครสักกี่คนที่ตระหนัก คงเฝ้ารอให้โชคดีเกิดขึ้นอย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้น
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง คือ เงื่อนไขข้อนี้ที่เป็นคำแปลภาษาอังกฤษของเราจะใช้คำว่า
"Under any of the following circumstances this insurance ceases to attach"
ต้นฉบับของประเทศอังกฤษที่เรานำมาปรับใช้ ก็จะอยู่ในหมวดเงื่อนไขเหมือนกัน โดยจะเขียนไว้ว่า
"This policy shall be avoided...."
พร้อมกับในคู่มือตีความของเขาเขียนเอาไว้ ดังนี้ "this clause applies only to the item the subject of the alteration, not the whole policy."
เจตนารมณ์ของเขาชัดเจนว่า จะไม่เหมารวมทำให้กรมธรรม์ประกันภัยทั้งฉบับต้องสิ้นสุดลง จะเป็นด้วยการใช้คำระหว่าง "cease" กับ "avoid" ที่แตกต่างกันหรือเปล่า? ผมมิใช่ผู้เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ ไม่บังอาจไปวิเคราะห์หรอกครับ ก็ว่าตามกันไป
แต่ที่จำต้องหยิบยกประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ก็เพื่อขจัดข้อโต้แย้งในการตีความว่า มันควรจะเป็นเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ หรือควรจะเป็นข้อยกเว้น ถ้าถือเป็นข้อยกเว้น แล้วเอาไปใส่อยู่ในเงื่อนไข ก็สับสนกันอย่างนี้ล่ะครับ ผมเคยมีโอกาสเสนอแนวความคิดว่า ทำไมเราไม่ทำให้มันชัดเจนเหมือนอย่างกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน แบบสรรพภัยของประเทศออสเตรเลีย ที่เรียกว่า "Industrial Special Risks" กันเล่า ซึ่งเขาได้โยกย้ายเงื่อนไขข้อนี้ให้ไปรวมอยู่ในข้อยกเว้นแห่งเดียวกันเลย ให้เงื่อนไขก็เป็นเรื่องของเงื่อนไข ข้อยกเว้นก็เป็นของข้อยกเว้น ไม่ต้องสับสนงงงวยกันเช่นนี้อีกต่อไป แต่สุดท้าย ก็ไม่มีใครสนับสนุน จำต้องปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วล่ะครับ หรือคุณคิดว่าอย่างไร?
ตอนต่อไป เป็นตอนจบของบทความนี้แล้วครับ
(ตอนที่เจ็ด)
จากที่เราคุยกันมาในเงื่อนไขข้อที่ 9.1 ถึง 9.4 หากคุณอ่านแล้วตีความ การทำผิดเงื่อนไขข้อหนึ่งข้อใด ส่งผลทำให้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยทั้งฉบับต้องสิ้นสุดลงตามที่กำหนดไว้ นั่นคือ ถือเป็นเงื่อนไข แต่ถ้าคุณตีความเพียงเป็นการส่งผลทำให้ไม่คุ้มครองเฉพาะกรณี หรือเฉพาะทรัพย์สินที่เอาประกันภัยบางอัน นั่นหมายความเป็นเพียงข้อยกเว้นเท่านั้น ส่วนอื่นที่ไม่ได้รับผลกระทบ ก็ยังคงคุ้มครองต่อ ทำไมประเด็นเงื่อนไขนี้ ถึงไม่เคยได้รับฟังว่า เคยเป็นประเด็นข้อโต้แย้ง เพราะโชคดีที่ส่วนใหญ่ตีความให้เป็นเพียงข้อยกเว้นหรือเปล่า? แต่ถ้ามิได้โชคดีถึงขนาดนั้น เวลาเกิดความเสียหายขึ้นมา กรรมนั้นจะตกแก่ผู้ใด?
ก่อนอื่น เราลองมาทบทวนเงื่อนไขดังกล่าวกันอีกครั้ง
ก) ย่อหน้าแรกที่ระบุว่า "ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เป็นอันระงับไปทันทีเมื่อ"
ไม่ชัดเจนว่า หมายความถึง ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยต้องสิ้นสุดลงไปบางส่วน หรือทั้งฉบับ สมมุติต้องสิ้นสุดลงทั้งฉบับภายหลังจากทำประกันภัยไปได้เพียงสามเดือน เบี้ยประกันภัยที่ชำระไว้เต็มปี จะขอเรียกคืนเบี้ยประกันภัยส่วนที่เหลืออีกเก้าเดือนจากบริษัทประกันภัยได้หรือไม่? ผมเคยยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูด แต่มีความเห็นแตกต่างเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกมองว่า เป็นการทำผิดเงื่อนไขของผู้เอาประกันภัยเอง บริษัทประกันภัยไม่จำต้องคืนเบี้ยประกันภัยส่วนที่เหลือให้ แต่กลุ่มที่สอง บอกว่า ไม่เป็นธรรม ควรต้องคืนให้เขาไป ส่วนตัวของผมเห็นคล้อยตามกลุ่มที่สองครับ มิฉะนั้น ทะเลาะกันยาวแน่ครับ
ข) ข้อที่ 9.1 การเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลทำให้มีความเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้นนั้น ไม่ชัดเจนว่า ต้องเปลี่ยนแปลงถึงขนาดเป็นการถาวร หรือเพียงชั่วคราว แนวคำพิพากษาศาลต่างประเทศ ก็ออกมาทั้งคู่ ในคู่มือตีความของประเทศอังกฤษเขียนว่า ต้องถาวรเท่านั้น ถ้าตีความเช่นนั้น กรมธรรม์ประกันภัยทั้งฉบับต้องสิ้นสุดลง ก็ยอมรับกันได้ แต่ถ้าชั่วคราว อาจดูโหดร้ายเกินไป แค่เพียงไม่คุ้มครองในช่วงเวลานั้นน่าจะพอแล้ว ครั้นพอกลับคืนสู่สภาพเดิม ก็มาคุ้มครองต่อเนื่องไปได้เลย ไม่เห็นจำเป็นจะต้องให้ผู้เอาประกันภัยไปซื้อกรมธรรม์ประกันภัยใหม่อีก
ผมค่อนข้างกังวลกับการตีความว่า อะไรที่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงถึงขนาดทำให้มีความเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้น ผู้เอาประกันภัยอาจนึกไม่ถึงว่า มีความเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้นมากมายอะไร แต่บริษัทประกันภัยอาจไม่คิดเช่นนั้นก็ได้ เคยอ่านข้อพิพาทในต่างประเทศ การนำคนเข้ามาอยู่ในบ้านเพิ่มขึ้น ก็ทำให้เกิดโต้แย้งประเด็นนี้กันแล้ว จึงห่วงที่ปัจจุบันมีโครงการให้คนเข้ามาเช่าพักอยู่ในบ้านได้ ซึ่งเริ่มเป็นที่สนใจทำกันบ้างแล้วในบ้านเรา หรือแม้กระทั่ง โยงไปถึงเรื่องของประกันภัยรถยนต์ที่มีรถบ้านไปเข้าร่วมโครงการนำรถไปรับจ้างเป็นครั้งคราวนั้น ผมขอแนะนำให้รีบไปตรวจสอบกับบริษัทประกันภัยที่ใช้บริการอยู่ให้มั่นใจก่อนนะครับว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา เขาจะไม่ถือว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงถึงขนาดทำให้มีความเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้น
ค) ข้อที่ 9.2 การปราศจากผู้อยู่อาศัย หรือผู้ดูแลติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 30 วัน สมมุติผู้เอาประกันภัยกลับมาอยู่อาศัยดังเดิมในวันที่ 35 กรมธรรม์ประกันภัยยังคงให้ความคุ้มครองต่อเนื่องไปหรือเปล่า? ถ้าใช่ มันก็ถือเป็นเพียงข้อยกเว้น เช่นนั้น ทำไมไม่กำหนดให้ชัดเจนให้เป็นข้อยกเว้นเหมือนดั่งกรมธรรม์ระกันภัยโจรกรรมเสียเลยเล่า
ฆ) ข้อที่ 9.3 การโยกย้ายทรัพย์สินที่เอาประกันภัยออกไปจากสถานที่เอาประกันภัย มิได้ระบุชัดเจนว่า ต้องเป็นการโยกย้ายจำนวนกี่ชิ้น นำออกไปเพียงชิ้นเดียว แล้วส่งผลทำให้ความคุ้มครองทั้งหมดของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยซึ่งยังคงอยู่ ต้องสิ้นสุดลงไปด้วย มันถูกต้อง และเป็นธรรมหรือไม่? สมมุติ ถ้าตัดเงื่อนไขข้อนี้ออกไปเลย ผลของการตีความจะชัดเจนกว่าไหม?
ง) ข้อที่ 9.4 การเปลี่ยนแปลงส่วนได้เสียของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย (ยกเว้นกรณีพินัยกรรม หรือเข้าข้อบังคับตามกฎหมายอื่นใด) เป็นต้นว่า การซื้อขาย ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่เขียนเงื่อนไขข้อนี้เอาไว้เลย การตีความว่า ถ้าผู้เอาประกันภัยขายทรัพย์สินที่เอาประกันภัยออกไปบางชิ้น จะส่งผลทำให้กรมธรรม์ประกันภัยทั้งฉบับต้องสิ้นสุด หรือจะไม่คุ้มครองเฉพาะชิ้นนั้นเอง ง่ายขึ้นกว่าไหม? หรือกระทั่งจะเขียนให้ชัดเจนไปเลยเหมือนอย่างในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัย หรือกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ เพราะถ้ายังคลุมเครือ ผู้เอาประกันภัยที่ทำธุรกิจซื้อมา ขายไป ก็คงมีประเด็นต่อไปไม่รู้จบ
ถึงแม้ในย่อหน้าสุดท้ายของเงื่อนไขนี้ จะเปิดช่องให้ขอความเห็นชอบล่วงหน้าจากบริษัทประกันภัยได้ แต่จะมีใครสักกี่คนที่ตระหนัก คงเฝ้ารอให้โชคดีเกิดขึ้นอย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้น
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง คือ เงื่อนไขข้อนี้ที่เป็นคำแปลภาษาอังกฤษของเราจะใช้คำว่า
"Under any of the following circumstances this insurance ceases to attach"
ต้นฉบับของประเทศอังกฤษที่เรานำมาปรับใช้ ก็จะอยู่ในหมวดเงื่อนไขเหมือนกัน โดยจะเขียนไว้ว่า
"This policy shall be avoided...."
พร้อมกับในคู่มือตีความของเขาเขียนเอาไว้ ดังนี้ "this clause applies only to the item the subject of the alteration, not the whole policy."
เจตนารมณ์ของเขาชัดเจนว่า จะไม่เหมารวมทำให้กรมธรรม์ประกันภัยทั้งฉบับต้องสิ้นสุดลง จะเป็นด้วยการใช้คำระหว่าง "cease" กับ "avoid" ที่แตกต่างกันหรือเปล่า? ผมมิใช่ผู้เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ ไม่บังอาจไปวิเคราะห์หรอกครับ ก็ว่าตามกันไป
แต่ที่จำต้องหยิบยกประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ก็เพื่อขจัดข้อโต้แย้งในการตีความว่า มันควรจะเป็นเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ หรือควรจะเป็นข้อยกเว้น ถ้าถือเป็นข้อยกเว้น แล้วเอาไปใส่อยู่ในเงื่อนไข ก็สับสนกันอย่างนี้ล่ะครับ ผมเคยมีโอกาสเสนอแนวความคิดว่า ทำไมเราไม่ทำให้มันชัดเจนเหมือนอย่างกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน แบบสรรพภัยของประเทศออสเตรเลีย ที่เรียกว่า "Industrial Special Risks" กันเล่า ซึ่งเขาได้โยกย้ายเงื่อนไขข้อนี้ให้ไปรวมอยู่ในข้อยกเว้นแห่งเดียวกันเลย ให้เงื่อนไขก็เป็นเรื่องของเงื่อนไข ข้อยกเว้นก็เป็นของข้อยกเว้น ไม่ต้องสับสนงงงวยกันเช่นนี้อีกต่อไป แต่สุดท้าย ก็ไม่มีใครสนับสนุน จำต้องปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วล่ะครับ หรือคุณคิดว่าอย่างไร?
ตอนต่อไป เป็นตอนจบของบทความนี้แล้วครับ
วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559
เรื่องที่ 19 : ข้อยกเว้นที่ไม่ใช่ข้อยกเว้น เงื่อนไขที่ไม่ใช่เงื่อนไข ตกลงเป็นข้อยกเว้น หรือเงื่อนไขกันแน่?
(ตอนที่หก)
หลังจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยเมื่อปลายปี พ.ศ. 2554 ผมเคยได้รับคำถามจากผู้เสียหายรายหนึ่ง และได้นำมาเปิดประเด็นเวลาไปบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย ซึ่งได้ปฎิกิริยาตอบรับจากผู้เข้ารับฟังแตกต่างกันไป ลองพิจารณาเรื่องราวดูนะครับ
ผู้เสียหายได้ทำประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินคุ้มครองสต็อกสินค้าที่ผลิตของตนเองมาหลายปีแล้วกับบริษัทประกันภัยแห่งเดียวกัน ตลอดระยะเวลาก็ต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยเช่นเดิมมาด้วยดี โดยโชคดีที่ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นมาเลย จวบจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์มหาอุทกภัยดังกล่าวขึ้น สร้างความเสียหายโดยสิ้นเชิงแก่สต็อกสินค้าที่เอาประกันภัยไว้ในวงเงินทั้งสิ้น 100 ล้านบาท ผู้เอาประกันภัยคิดว่า แม้จะโชคร้าย แต่ก็มีประกันภัยคุ้มครองภัยน้ำท่วมอยู่ด้วย คาดหวังจะได้รับค่าชดเชยจากบริษัทประกันภัยของตนเต็มตามความเสียหายที่แท้จริง 100 ล้านบาท แต่ปรากฏว่า กลับได้รับคำตอบว่า สามารถได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเพียงหนึ่งล้านบาทเท่านั้น ไม่ว่าบริษัทประกันภัยจะพยายามชี้แจงอย่างไร ตอนนั้น ผู้เสียหายก็หูอื้อแล้ว ครั้นพอทำใจได้บ้าง ก็พยายามค้นหาคำตอบจากผู้รู้ต่าง ๆ บังเอิญผมได้รับการสอบถามมา พอขอรายละเอียดของกรมธรรม์ประกันภัยนี้ ผู้เสียหายมิได้นำติดตัวมาด้วยในเวลานั้น ผมจึงสอบถามเพิ่มเติมว่า คุณทำประกันภัยโดยมีเงื่อนไขแบบกระแสรายวันด้วยมั้ย ผู้เสียหายทำหน้างง ๆ และตอบว่า คืออะไร เพิ่งเคยได้ยิน ผมเลยพอเดาออกว่า ทำไมทำประกันภัยไว้ในวงเงิน 100 ล้านบาท พอเกิดความเสียหายจริง 100 ล้านบาท แต่กลับจะได้รับการชดใช้เพียงหนึ่งล้านบาทนั้นเกิดจากอะไร?
ผมได้อธิบายโดยยกตัวอย่างประกอบ ดังนี้
บริษัทประกันภัยตกลงรับประกันภัยสต็อกสินค้าที่มีอยู่จริงในโกดัง จำนวน 100 ล้านบาท โดยขยายภัยน้ำท่วมไว้ด้วย และเริ่มคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554 เป็นต้นไป เป็นเวลาหนึ่งปี
ต่อมา ในวันที่ 1 มีนาคม ปีเดียวกัน ผู้เอาประกันภัยขายสต็อกสินค้านั้นออกไป 99 ล้านบาท คงเหลือสต็อกสินค้าเก็บอยู่ในโกดังเพียงหนึ่งล้านบาท สมมุติ คืนวันนั้น เกิดไฟไหม้สต็อกสินค้าในโกดังทั้งหมด คุณจะได้รับการชดใช้จากบริษัทประกันภัยเท่าไหร่? ผู้เสียหายก็ตอบว่า หนึ่งล้านบาทตามความเสียหายที่แท้จริง แต่บังเอิญไม่มีไฟไหม้เกิดขึ้นมาเลย สต็อกสินค้าหนึ่งล้านบาทนั้น ยังคงมีอยู่เช่นเดิม
ครั้นในวันที่ 1 ตุลาคม ปีเดียวกัน ผู้เอาประกันภัยผลิตสินค้าขึ้นมาใหม่เพิ่มเติม 99 ล้านบาท บวกกับสต็อกสินค้าเดิมหนึ่งล้านบาท รวมกันเป็น 100 ล้านบาท ถัดมาอีกสามวัน เกิดน้ำท่วม สต็อกสินค้านั้นได้รับความเสียหายทั้งหมด คุณคิดว่า จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยได้เท่าไหร่? ผู้เสียหายตอบว่า ต้องได้ 100 ล้านบาทตามความเสียหายที่แท้จริงสิ
ผมชี้แจงให้รับฟังว่า เปล่า คุณจะได้รับการชดใช้เพียงหนึ่งล้านบาทเท่านั้น ซึ่งเป็นสต็อกสินค้าที่มีอยู่เดิมตั้งแต่เวลาที่ทำประกันภัย และคงมีอยู่ในเวลาที่เสียหายด้วย เพราะโดยหลักการประกันภัยเรื่องส่วนได้เสีย และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 ระบุว่า "อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด" ซึ่งในการตีความส่วนได้เสียของผู้เอาประกันภัย อันจะได้รับความคุ้มครองตามสัญญาประกันภัยนั้น จะต้องเป็นส่วนได้เสียทั้งเวลาที่ทำประกันภัย และเวลาที่เกิดความเสียหายควบคู่กันไปด้วย กล่าวคือ ผู้เอาประกันภัยจะต้องมีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้นตลอดระยะเวลาเอาประกันภัย ถ้าผู้เอาประกันภัยได้ขายทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้นออกไปบางส่วน ในที่นี้ คือ ขายออกไป 99 ล้านบาท ก็เป็นเหตุผลที่ว่า ถ้าเกิดไฟไหม้ ผู้เอาประกันภัยจะได้รับการชดใช้เพียงตามจริงหนึ่งล้านบาทเท่านั้น ส่วนสต็อกสินค้าที่ผลิตขึ้นมาใหม่ภายหลังอีก 99 ล้านบาทนั้น เมื่อผู้เอาประกันภัยมิได้แจ้งต่อบริษัทประกันภัยขอให้คุ้มครองเพิ่มเติมเสียก่อน บริษัทประกันภัยก็จะไม่รับผิดชอบแต่ประการใด เพราะถือเป็นส่วนได้เสียที่เกิดขึ้นมาใหม่ หลักการประกันภัยทรัพย์สินจะให้ความคุ้มครองโดยเฉพาะเจาะจงแก่ส่วนได้เสียของผู้เอาประกันภัยที่มีอยู่ในทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้น มิใช่เป็นการให้ความคุ้มครองแก่ทรัพย์สินใด ๆ ของผู้เอาประกันภัยก็ได้ ทั้งนี้ เว้นแต่จะได้มีข้อตกลงไว้เป็นอย่างอื่นเป็นพิเศษ
ทางปฎิบัติที่ถูกที่ควรสำหรับกรณีนี้ เป็นหน้าที่ของผู้เอาประกันภัยจะต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงส่วนได้เสียของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยของตนให้แก่บริษัทประกันภัย อย่างในกรณีตัวอย่างนี้ เมื่อผู้เอาประกันภัยขายสต็อกสินค้าออกไป 99 ล้านบาท ผู้เอาประกันภัยจะต้องแจ้งขอลดทุนประกันภัยจากเดิม 100 ล้าน เหลือหนึ่งล้านบาทตามจริง และขอรับเบี้ยประกันภัยคืนตามส่วน ครั้นพอมีสต็อกสินค้าใหม่เพิ่มขึ้น 99 ล้านบาท ผู้เอาประกันภัยก็ต้องแจ้งเพิ่มทุนประกันภัยจำนวนดังกล่าวแก่บริษัทประกันภัย พร้อมชำระเบี้ยประกันภัยเพิ่มตามส่วนเช่นกัน แต่เมื่อผู้เอาประกันภัยมิได้ทำหน้าที่เช่นว่านั้น ก็จะเกิดปัญหานี้ตามมา
ทางแก้ปัญหานี้ ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของบริษัทประกันภัย หรือคนกลางประกันภัยที่จะต้องให้คำแนะนำแก่ผู้เอาประกันภัยในเวลาทำประกันภัยว่า เนื่องจากสต็อกสินค้ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การแจ้งกลับไปกลับมาของทั้งสองฝ่ายเช่นว่านั้นทุกครั้ง เสียทั้งเวลาและเงิน จำต้องอาศัยเงื่อนไขพิเศษ แบบ อค./ทส. การประกันภัยแบบกระแสรายวันเข้ามาช่วย โดยที่เงื่อนไขพิเศษนี้จะกำหนดให้ผู้เอาประกันภัยสามารถแจ้งการเปลี่ยนแปลงมูลค่าสต็อกสินค้าคงคลังในกำหนดเวลาแล้วแต่จะตกลงกันก็ได้ เป็นต้นว่า เป็นรายเดือน หรือรายไตรมาส และให้ถือจำนวนเงินที่ทำประกันภัยเป็นวงเงินความคุ้มครองสูงสุด โดยบริษัทประกันภัยจะไม่เอาเปรียบในเรื่องเบี้ยประกันภัย จะขอเรียกเก็บเป็นมัดจำล่วงหน้าเพียง 75% เท่านั้น ครั้นเมื่อครบกำหนดระยะเวลาเอาประกันภัย ก็จะนำตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังตามที่ได้รับแจ้งทั้งหมด มาคำนวณเบี้ยประกันภัยที่แท้จริงกันอีกครั้ง ผู้เอาประกันภัยก็จะสบายใจได้ว่า จะมีความคุ้มครองอยู่ตลอดเวลาทั้งสต็อกสินค้าเก่าและใหม่ แต่หากบริษัทประกันภัย หรือคนกลางประกันภัยไม่แนะนำทางออกให้แก่ผู้เอาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็จะไม่อาจรู้ได้เองเลย
อย่างที่เกริ่นไว้แต่ตอนต้น ปฎิกิริยาของผู้รับฟังเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับผม หรือกระทั่งกับบริษัทผู้รับประกันภัยรายนั้น และหลายท่านก็บอกว่า ไม่เคยเจอปัญหานี้เลย เกิดเหตุทีไร บริษัทประกันภัยก็จ่ายให้ทุกครั้ง ไม่เห็นจะต้องมีเงื่อนไขพิเศษดังว่านั้นเลย ผมก็ยินดีน้อมรับความเห็นต่างครับ แต่ส่วนตัวของผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้าความเสียหายเล็กน้อย อะไรก็พอคุยเจรจากันได้ แต่ถ้าความเสียหายมันใหญ่มาก จะคุยเจรจากันนั้น ยากมาก เพราะจะมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะแยะไปหมด อีกทั้งสิ่งที่ผมอธิบายนั้น เป็นหลักการที่ถูกต้อง หากเราทำให้ถูกต้องตั้งแต่แรก ปัญหาน่าจะไม่มีหรอกครับ
กรณีนี้ ยังถือว่าที่บริษัทประกันภัยยอมชดใช้ให้หนึ่งล้านบาท ก็พอรับฟังได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าเขาหยิบยกเงื่อนไขข้อ 9 การระงับไปแห่งสัญญาประกันภัย ในข้อที่ 9.4 ที่ยังค้างกันอยู่มาอ้างอิง ซึ่งกำหนดว่า
"ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เป็นอันระงับไปทันทีเมื่อ
9.4 ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ได้เปลี่ยนมือจากผู้เอาประกันภัยโดยวิธีอื่น นอกจากทางพินัยกรรมหรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ข้อ 9.1 ถึง 9.4 จะได้รับความคุ้มครอง เมื่อผู้เอาประกันภัยได้แจ้งให้บริษัททราบก่อนเกิดความเสียหายขึ้น และบริษัทตกลงยินยอมรับประกันภัยต่อไป ทั้งนี้ บริษัทจะออกใบสลักหลังแนบท้ายไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้"
คุณยังคิดว่า ผู้เสียหายรายนี้จะได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือไม่ครับ?
ถ้าจะเอาให้สบายใจ ผมขอแนะนำให้ขอใบสลักหลังตามย่อหน้าสุดท้ายของเงื่อนไขข้อ 9 นี้ พร้อมกับขอเงื่อนไขพิเศษการประกันภัยแบบกระแสรายวันเป็นดีที่สุดครับ
สุขสันต์เทศกาลสงกรานต์ครับ
(ตอนที่หก)
หลังจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยเมื่อปลายปี พ.ศ. 2554 ผมเคยได้รับคำถามจากผู้เสียหายรายหนึ่ง และได้นำมาเปิดประเด็นเวลาไปบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย ซึ่งได้ปฎิกิริยาตอบรับจากผู้เข้ารับฟังแตกต่างกันไป ลองพิจารณาเรื่องราวดูนะครับ
ผู้เสียหายได้ทำประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินคุ้มครองสต็อกสินค้าที่ผลิตของตนเองมาหลายปีแล้วกับบริษัทประกันภัยแห่งเดียวกัน ตลอดระยะเวลาก็ต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยเช่นเดิมมาด้วยดี โดยโชคดีที่ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นมาเลย จวบจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์มหาอุทกภัยดังกล่าวขึ้น สร้างความเสียหายโดยสิ้นเชิงแก่สต็อกสินค้าที่เอาประกันภัยไว้ในวงเงินทั้งสิ้น 100 ล้านบาท ผู้เอาประกันภัยคิดว่า แม้จะโชคร้าย แต่ก็มีประกันภัยคุ้มครองภัยน้ำท่วมอยู่ด้วย คาดหวังจะได้รับค่าชดเชยจากบริษัทประกันภัยของตนเต็มตามความเสียหายที่แท้จริง 100 ล้านบาท แต่ปรากฏว่า กลับได้รับคำตอบว่า สามารถได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเพียงหนึ่งล้านบาทเท่านั้น ไม่ว่าบริษัทประกันภัยจะพยายามชี้แจงอย่างไร ตอนนั้น ผู้เสียหายก็หูอื้อแล้ว ครั้นพอทำใจได้บ้าง ก็พยายามค้นหาคำตอบจากผู้รู้ต่าง ๆ บังเอิญผมได้รับการสอบถามมา พอขอรายละเอียดของกรมธรรม์ประกันภัยนี้ ผู้เสียหายมิได้นำติดตัวมาด้วยในเวลานั้น ผมจึงสอบถามเพิ่มเติมว่า คุณทำประกันภัยโดยมีเงื่อนไขแบบกระแสรายวันด้วยมั้ย ผู้เสียหายทำหน้างง ๆ และตอบว่า คืออะไร เพิ่งเคยได้ยิน ผมเลยพอเดาออกว่า ทำไมทำประกันภัยไว้ในวงเงิน 100 ล้านบาท พอเกิดความเสียหายจริง 100 ล้านบาท แต่กลับจะได้รับการชดใช้เพียงหนึ่งล้านบาทนั้นเกิดจากอะไร?
ผมได้อธิบายโดยยกตัวอย่างประกอบ ดังนี้
บริษัทประกันภัยตกลงรับประกันภัยสต็อกสินค้าที่มีอยู่จริงในโกดัง จำนวน 100 ล้านบาท โดยขยายภัยน้ำท่วมไว้ด้วย และเริ่มคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554 เป็นต้นไป เป็นเวลาหนึ่งปี
ต่อมา ในวันที่ 1 มีนาคม ปีเดียวกัน ผู้เอาประกันภัยขายสต็อกสินค้านั้นออกไป 99 ล้านบาท คงเหลือสต็อกสินค้าเก็บอยู่ในโกดังเพียงหนึ่งล้านบาท สมมุติ คืนวันนั้น เกิดไฟไหม้สต็อกสินค้าในโกดังทั้งหมด คุณจะได้รับการชดใช้จากบริษัทประกันภัยเท่าไหร่? ผู้เสียหายก็ตอบว่า หนึ่งล้านบาทตามความเสียหายที่แท้จริง แต่บังเอิญไม่มีไฟไหม้เกิดขึ้นมาเลย สต็อกสินค้าหนึ่งล้านบาทนั้น ยังคงมีอยู่เช่นเดิม
ครั้นในวันที่ 1 ตุลาคม ปีเดียวกัน ผู้เอาประกันภัยผลิตสินค้าขึ้นมาใหม่เพิ่มเติม 99 ล้านบาท บวกกับสต็อกสินค้าเดิมหนึ่งล้านบาท รวมกันเป็น 100 ล้านบาท ถัดมาอีกสามวัน เกิดน้ำท่วม สต็อกสินค้านั้นได้รับความเสียหายทั้งหมด คุณคิดว่า จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยได้เท่าไหร่? ผู้เสียหายตอบว่า ต้องได้ 100 ล้านบาทตามความเสียหายที่แท้จริงสิ
ผมชี้แจงให้รับฟังว่า เปล่า คุณจะได้รับการชดใช้เพียงหนึ่งล้านบาทเท่านั้น ซึ่งเป็นสต็อกสินค้าที่มีอยู่เดิมตั้งแต่เวลาที่ทำประกันภัย และคงมีอยู่ในเวลาที่เสียหายด้วย เพราะโดยหลักการประกันภัยเรื่องส่วนได้เสีย และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 ระบุว่า "อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด" ซึ่งในการตีความส่วนได้เสียของผู้เอาประกันภัย อันจะได้รับความคุ้มครองตามสัญญาประกันภัยนั้น จะต้องเป็นส่วนได้เสียทั้งเวลาที่ทำประกันภัย และเวลาที่เกิดความเสียหายควบคู่กันไปด้วย กล่าวคือ ผู้เอาประกันภัยจะต้องมีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้นตลอดระยะเวลาเอาประกันภัย ถ้าผู้เอาประกันภัยได้ขายทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้นออกไปบางส่วน ในที่นี้ คือ ขายออกไป 99 ล้านบาท ก็เป็นเหตุผลที่ว่า ถ้าเกิดไฟไหม้ ผู้เอาประกันภัยจะได้รับการชดใช้เพียงตามจริงหนึ่งล้านบาทเท่านั้น ส่วนสต็อกสินค้าที่ผลิตขึ้นมาใหม่ภายหลังอีก 99 ล้านบาทนั้น เมื่อผู้เอาประกันภัยมิได้แจ้งต่อบริษัทประกันภัยขอให้คุ้มครองเพิ่มเติมเสียก่อน บริษัทประกันภัยก็จะไม่รับผิดชอบแต่ประการใด เพราะถือเป็นส่วนได้เสียที่เกิดขึ้นมาใหม่ หลักการประกันภัยทรัพย์สินจะให้ความคุ้มครองโดยเฉพาะเจาะจงแก่ส่วนได้เสียของผู้เอาประกันภัยที่มีอยู่ในทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้น มิใช่เป็นการให้ความคุ้มครองแก่ทรัพย์สินใด ๆ ของผู้เอาประกันภัยก็ได้ ทั้งนี้ เว้นแต่จะได้มีข้อตกลงไว้เป็นอย่างอื่นเป็นพิเศษ
ทางปฎิบัติที่ถูกที่ควรสำหรับกรณีนี้ เป็นหน้าที่ของผู้เอาประกันภัยจะต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงส่วนได้เสียของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยของตนให้แก่บริษัทประกันภัย อย่างในกรณีตัวอย่างนี้ เมื่อผู้เอาประกันภัยขายสต็อกสินค้าออกไป 99 ล้านบาท ผู้เอาประกันภัยจะต้องแจ้งขอลดทุนประกันภัยจากเดิม 100 ล้าน เหลือหนึ่งล้านบาทตามจริง และขอรับเบี้ยประกันภัยคืนตามส่วน ครั้นพอมีสต็อกสินค้าใหม่เพิ่มขึ้น 99 ล้านบาท ผู้เอาประกันภัยก็ต้องแจ้งเพิ่มทุนประกันภัยจำนวนดังกล่าวแก่บริษัทประกันภัย พร้อมชำระเบี้ยประกันภัยเพิ่มตามส่วนเช่นกัน แต่เมื่อผู้เอาประกันภัยมิได้ทำหน้าที่เช่นว่านั้น ก็จะเกิดปัญหานี้ตามมา
ทางแก้ปัญหานี้ ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของบริษัทประกันภัย หรือคนกลางประกันภัยที่จะต้องให้คำแนะนำแก่ผู้เอาประกันภัยในเวลาทำประกันภัยว่า เนื่องจากสต็อกสินค้ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การแจ้งกลับไปกลับมาของทั้งสองฝ่ายเช่นว่านั้นทุกครั้ง เสียทั้งเวลาและเงิน จำต้องอาศัยเงื่อนไขพิเศษ แบบ อค./ทส. การประกันภัยแบบกระแสรายวันเข้ามาช่วย โดยที่เงื่อนไขพิเศษนี้จะกำหนดให้ผู้เอาประกันภัยสามารถแจ้งการเปลี่ยนแปลงมูลค่าสต็อกสินค้าคงคลังในกำหนดเวลาแล้วแต่จะตกลงกันก็ได้ เป็นต้นว่า เป็นรายเดือน หรือรายไตรมาส และให้ถือจำนวนเงินที่ทำประกันภัยเป็นวงเงินความคุ้มครองสูงสุด โดยบริษัทประกันภัยจะไม่เอาเปรียบในเรื่องเบี้ยประกันภัย จะขอเรียกเก็บเป็นมัดจำล่วงหน้าเพียง 75% เท่านั้น ครั้นเมื่อครบกำหนดระยะเวลาเอาประกันภัย ก็จะนำตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังตามที่ได้รับแจ้งทั้งหมด มาคำนวณเบี้ยประกันภัยที่แท้จริงกันอีกครั้ง ผู้เอาประกันภัยก็จะสบายใจได้ว่า จะมีความคุ้มครองอยู่ตลอดเวลาทั้งสต็อกสินค้าเก่าและใหม่ แต่หากบริษัทประกันภัย หรือคนกลางประกันภัยไม่แนะนำทางออกให้แก่ผู้เอาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็จะไม่อาจรู้ได้เองเลย
อย่างที่เกริ่นไว้แต่ตอนต้น ปฎิกิริยาของผู้รับฟังเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับผม หรือกระทั่งกับบริษัทผู้รับประกันภัยรายนั้น และหลายท่านก็บอกว่า ไม่เคยเจอปัญหานี้เลย เกิดเหตุทีไร บริษัทประกันภัยก็จ่ายให้ทุกครั้ง ไม่เห็นจะต้องมีเงื่อนไขพิเศษดังว่านั้นเลย ผมก็ยินดีน้อมรับความเห็นต่างครับ แต่ส่วนตัวของผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้าความเสียหายเล็กน้อย อะไรก็พอคุยเจรจากันได้ แต่ถ้าความเสียหายมันใหญ่มาก จะคุยเจรจากันนั้น ยากมาก เพราะจะมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะแยะไปหมด อีกทั้งสิ่งที่ผมอธิบายนั้น เป็นหลักการที่ถูกต้อง หากเราทำให้ถูกต้องตั้งแต่แรก ปัญหาน่าจะไม่มีหรอกครับ
กรณีนี้ ยังถือว่าที่บริษัทประกันภัยยอมชดใช้ให้หนึ่งล้านบาท ก็พอรับฟังได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าเขาหยิบยกเงื่อนไขข้อ 9 การระงับไปแห่งสัญญาประกันภัย ในข้อที่ 9.4 ที่ยังค้างกันอยู่มาอ้างอิง ซึ่งกำหนดว่า
"ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เป็นอันระงับไปทันทีเมื่อ
9.4 ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ได้เปลี่ยนมือจากผู้เอาประกันภัยโดยวิธีอื่น นอกจากทางพินัยกรรมหรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ข้อ 9.1 ถึง 9.4 จะได้รับความคุ้มครอง เมื่อผู้เอาประกันภัยได้แจ้งให้บริษัททราบก่อนเกิดความเสียหายขึ้น และบริษัทตกลงยินยอมรับประกันภัยต่อไป ทั้งนี้ บริษัทจะออกใบสลักหลังแนบท้ายไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้"
คุณยังคิดว่า ผู้เสียหายรายนี้จะได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือไม่ครับ?
ถ้าจะเอาให้สบายใจ ผมขอแนะนำให้ขอใบสลักหลังตามย่อหน้าสุดท้ายของเงื่อนไขข้อ 9 นี้ พร้อมกับขอเงื่อนไขพิเศษการประกันภัยแบบกระแสรายวันเป็นดีที่สุดครับ
สุขสันต์เทศกาลสงกรานต์ครับ
วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2559
เรื่องที่ 19 : ข้อยกเว้นที่ไม่ใช่ข้อยกเว้น เงื่อนไขที่ไม่ใช่เงื่อนไข ตกลงเป็นข้อยกเว้น หรือเงื่อนไขกันแน่?
(ตอนที่ห้า)
เวลาบรรยายความรู้ด้านการประกันวินาศภัย ผมเคยตั้งคำถามสองข้อแก่ผู้เข้าอบรมว่า สมมุติผู้เอาประกันภัย คือ ผู้เช่าห้องอบรมเปล่า ต้องการทำประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินคุ้มครองถึงทรัพย์สินที่เอาประกันภัยที่ตนนำมาใช้ภายในห้องอบรมขณะนั้น อันได้แก่ โต๊ะหนึ่งตัวกับเก้าอี้สิบตัวของตนเอง โดยกำหนดสถานที่เอาประกันภัย คือ ห้องที่อบรมนั้น หลังจากบริษัทประกันภัยตกลงรับประกันภัยเรียบร้อยแล้ว ต่อมา ปรากฏว่า เก้าอี้ตัวหนึ่งชำรุด ผู้เอาประกันภัยจึงนำเก้าอี้ตัวนั้นออกไปเก็บไว้ยังสถานที่แห่งอื่น เพื่อรอซ่อมแซม และได้นำเก้าอี้ตัวใหม่ที่ตนเพิ่งไปซื้อมาเปลี่ยนทดแทน เพื่อให้มีจำนวนเก้าอี้ในห้องนั้นเต็มสิบตัวดังเดิม
คำถามแรก
หากเก้าอี้ตัวที่นำไปเก็บไว้นั้นถูกไฟไหม้เสียหาย จะได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้หรือไม่?
คำถามแรก ผู้เข้าอบรมทั้งหมดสามารถตอบได้ไม่มีปัญหาว่า ไม่คุ้มครอง เพราะกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้จะให้ความคุ้มครองแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยซึ่งได้รับความเสียหายจากภัยที่คุ้มครองภายในสถานที่เอาประกันภัยเท่านั้น แต่กรณีนี้ไปเกิดเหตุนอกสถานที่เอาประกันภัย
คำถามที่สอง
ถ้าเกิดไฟไหม้โดยอุบัติเหตุภายในห้องอบรมนั้น แล้วทำให้โต๊ะกับเก้าอี้ทั้งหมดถูกไฟไหม้เสียหายโดยสิ้นเชิง ผู้เอาประกันภัยรายนี้จะได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยอะไรได้บ้าง? โดยมีคำตอบให้เลือกสามข้อ แต่ให้เลือกคำตอบข้อที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว ดังนี้
ก) โต๊ะหนึ่งตัวกับเก้าอี้สิบตัว
ข) โต๊ะหนึ่งตัวกับเก้าอี้เก้าตัว
ค) ไม่ได้รับการชดใช้เลย
สมมุติ คุณเป็นหนึ่งในผู้เข้าอบรมในวันนั้นด้วย คุณจะเลือกคำตอบข้อใดเป็นข้อที่ถูกต้องที่สุดครับ
สำหรับคำถามที่สอง มีคนเลือกคำตอบระหว่างข้อ ก) กับ ข้อ ข) เยอะมาก
โดยคนที่เลือกข้อ ก) ให้เหตุผลว่า ทั้งหมด คือ ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยซึ่งได้รับความเสียหายจากภัยไฟไหม้ที่เป็นภัยที่คุ้มครอง ทั้งยังเกิดเหตุภายในสถานที่เอาประกันภัยด้วย
ส่วนคนที่เลือกข้อ ข) ก็อธิบายเสริมว่า เนื่องจากเก้าอี้ตัวที่เพิ่งซื้อมาใหม่ภายหลัง มิได้แจ้งเอาประกันภัยเพิ่มเติมแก่บริษัทประกันภัย จึงไม่ได้รับความคุ้มครองแต่ประการใด ตามหลักส่วนได้เสีย
แต่ปรากฏว่า ไม่มีใครเลือกตอบข้อ ค) เลย
ผมคงยังไม่เฉลย แต่ขอนำคุณกลับมาพิจารณาถึง เงื่อนไขข้อที่ 9 การระงับไปแห่งสัญญาประกันภัยของกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ในข้อที่ 9.3 ที่ค้างอยู่ ซึ่งระบุไว้ดังนี้
"ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เป็นอันระงับไปทันทีเมื่อ
9.3 มีการโยกย้ายทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไปยังอาคาร หรือสถานที่อื่นใด นอกจากสถานที่ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย
ข้อ 9.1 ถึง 9.4 จะได้รับความคุ้มครอง เมื่อผู้เอาประกันภัยได้แจ้งให้บริษัททราบก่อนเกิดความเสียหายขึ้น และบริษัทตกลงยินยอมรับประกันภัยต่อไป ทั้งนี้ บริษัทจะออกใบสลักหลังแนบท้ายไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้"
เมื่ออ่านเงื่อนไขข้างต้นแล้ว คุณเข้าใจว่าอย่างไร และคุณคิดว่า ได้คำตอบแล้วหรือยังว่า คำตอบในข้อใดข้างต้นน่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดครับ
กรณีคำถามที่สอง อาจดูจำนวนและมูลค่าของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยเล็กน้อย แต่ถ้าคุณเคยได้ฟังนิทานเรื่องแจ้คผู้ฆ่ายักษ์ และนำมาเปรียบเทียบกับกรณีนี้ โดยสมมุติตัวเลขให้สูงขึ้น อาจเป็นมูลค่าที่เอาประกันภัยสูงนับพันล้านบาท หรือหมื่นล้านบาท เปรียบเสมือนเป็นยักษ์หนึ่งตน ส่วนเก้าอี้หนึ่งตัวอาจมีมูลค่าที่เอาประกันภัยเพียงหลักร้อย เปรียบได้เป็นแจ้ค ครั้นเมื่อนำเก้าอี้เพียงหนึ่งตัวออกไปจากสถานที่เอาประกันภัย คุณเห็นด้วยกับผมไหมว่า แจ้คฆ่ายักษ์ได้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อผมได้เป็นที่ปรึกษาการประกันภัยนี้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยรายหนึ่ง ผมจึงแนะนำให้ร้องขอให้บริษัทประกันภัยเวลาออกกรมธรรม์ประกันภัยนี้ ให้ออกใบสลักหลังมาพร้อมกัน โดยระบุด้วยว่า จะยังคงความคุ้มครองต่อไป แม้ผู้เอาประกันภัยจะมีการโยกย้ายทรัพย์สินที่เอาประกันภัยออกไปนอกสถานที่เอาประกันภัย ส่วนจะใช้วิธีการร้องขอให้แนบเงื่อนไขพิเศษที่เกี่ยวข้อง เป็นต้นว่า แบบ อค./ทส. 1.09 การโยกย้ายทรัพย์สิน หรือ แบบ อค./ทส. 1.20 การเก็บสินค้าชั่วคราว หรือ แบบ อค./ทส. 1.58 การเก็บทรัพย์สิน ณ สถานที่แห่งอื่น แล้วแต่กรณีนั้น วิธีหลังผมยังไม่ใคร่มั่นใจร้อยเปอร์เซนต์ เพราะบังเอิญในย่อหน้าท้ายของข้อ 9 ดังกล่าว เขียนไว้ค่อนข้างชัดว่า "ออกใบสลักหลังแนบท้าย" ซึ่งผมยังกังวลอยู่ว่า "ใบสลักหลัง" กับ "เงื่อนไขพิเศษ" นั้น จะมีความหมายเหมือนกัน เพื่อความสบายใจ ขอใช้ทั้งสองวิธีจะดีกว่าครับ
(ตอนที่ห้า)
เวลาบรรยายความรู้ด้านการประกันวินาศภัย ผมเคยตั้งคำถามสองข้อแก่ผู้เข้าอบรมว่า สมมุติผู้เอาประกันภัย คือ ผู้เช่าห้องอบรมเปล่า ต้องการทำประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินคุ้มครองถึงทรัพย์สินที่เอาประกันภัยที่ตนนำมาใช้ภายในห้องอบรมขณะนั้น อันได้แก่ โต๊ะหนึ่งตัวกับเก้าอี้สิบตัวของตนเอง โดยกำหนดสถานที่เอาประกันภัย คือ ห้องที่อบรมนั้น หลังจากบริษัทประกันภัยตกลงรับประกันภัยเรียบร้อยแล้ว ต่อมา ปรากฏว่า เก้าอี้ตัวหนึ่งชำรุด ผู้เอาประกันภัยจึงนำเก้าอี้ตัวนั้นออกไปเก็บไว้ยังสถานที่แห่งอื่น เพื่อรอซ่อมแซม และได้นำเก้าอี้ตัวใหม่ที่ตนเพิ่งไปซื้อมาเปลี่ยนทดแทน เพื่อให้มีจำนวนเก้าอี้ในห้องนั้นเต็มสิบตัวดังเดิม
คำถามแรก
หากเก้าอี้ตัวที่นำไปเก็บไว้นั้นถูกไฟไหม้เสียหาย จะได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้หรือไม่?
คำถามแรก ผู้เข้าอบรมทั้งหมดสามารถตอบได้ไม่มีปัญหาว่า ไม่คุ้มครอง เพราะกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้จะให้ความคุ้มครองแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยซึ่งได้รับความเสียหายจากภัยที่คุ้มครองภายในสถานที่เอาประกันภัยเท่านั้น แต่กรณีนี้ไปเกิดเหตุนอกสถานที่เอาประกันภัย
คำถามที่สอง
ถ้าเกิดไฟไหม้โดยอุบัติเหตุภายในห้องอบรมนั้น แล้วทำให้โต๊ะกับเก้าอี้ทั้งหมดถูกไฟไหม้เสียหายโดยสิ้นเชิง ผู้เอาประกันภัยรายนี้จะได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยอะไรได้บ้าง? โดยมีคำตอบให้เลือกสามข้อ แต่ให้เลือกคำตอบข้อที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว ดังนี้
ก) โต๊ะหนึ่งตัวกับเก้าอี้สิบตัว
ข) โต๊ะหนึ่งตัวกับเก้าอี้เก้าตัว
ค) ไม่ได้รับการชดใช้เลย
สมมุติ คุณเป็นหนึ่งในผู้เข้าอบรมในวันนั้นด้วย คุณจะเลือกคำตอบข้อใดเป็นข้อที่ถูกต้องที่สุดครับ
สำหรับคำถามที่สอง มีคนเลือกคำตอบระหว่างข้อ ก) กับ ข้อ ข) เยอะมาก
โดยคนที่เลือกข้อ ก) ให้เหตุผลว่า ทั้งหมด คือ ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยซึ่งได้รับความเสียหายจากภัยไฟไหม้ที่เป็นภัยที่คุ้มครอง ทั้งยังเกิดเหตุภายในสถานที่เอาประกันภัยด้วย
ส่วนคนที่เลือกข้อ ข) ก็อธิบายเสริมว่า เนื่องจากเก้าอี้ตัวที่เพิ่งซื้อมาใหม่ภายหลัง มิได้แจ้งเอาประกันภัยเพิ่มเติมแก่บริษัทประกันภัย จึงไม่ได้รับความคุ้มครองแต่ประการใด ตามหลักส่วนได้เสีย
แต่ปรากฏว่า ไม่มีใครเลือกตอบข้อ ค) เลย
ผมคงยังไม่เฉลย แต่ขอนำคุณกลับมาพิจารณาถึง เงื่อนไขข้อที่ 9 การระงับไปแห่งสัญญาประกันภัยของกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ในข้อที่ 9.3 ที่ค้างอยู่ ซึ่งระบุไว้ดังนี้
"ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เป็นอันระงับไปทันทีเมื่อ
9.3 มีการโยกย้ายทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไปยังอาคาร หรือสถานที่อื่นใด นอกจากสถานที่ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย
ข้อ 9.1 ถึง 9.4 จะได้รับความคุ้มครอง เมื่อผู้เอาประกันภัยได้แจ้งให้บริษัททราบก่อนเกิดความเสียหายขึ้น และบริษัทตกลงยินยอมรับประกันภัยต่อไป ทั้งนี้ บริษัทจะออกใบสลักหลังแนบท้ายไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้"
เมื่ออ่านเงื่อนไขข้างต้นแล้ว คุณเข้าใจว่าอย่างไร และคุณคิดว่า ได้คำตอบแล้วหรือยังว่า คำตอบในข้อใดข้างต้นน่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดครับ
กรณีคำถามที่สอง อาจดูจำนวนและมูลค่าของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยเล็กน้อย แต่ถ้าคุณเคยได้ฟังนิทานเรื่องแจ้คผู้ฆ่ายักษ์ และนำมาเปรียบเทียบกับกรณีนี้ โดยสมมุติตัวเลขให้สูงขึ้น อาจเป็นมูลค่าที่เอาประกันภัยสูงนับพันล้านบาท หรือหมื่นล้านบาท เปรียบเสมือนเป็นยักษ์หนึ่งตน ส่วนเก้าอี้หนึ่งตัวอาจมีมูลค่าที่เอาประกันภัยเพียงหลักร้อย เปรียบได้เป็นแจ้ค ครั้นเมื่อนำเก้าอี้เพียงหนึ่งตัวออกไปจากสถานที่เอาประกันภัย คุณเห็นด้วยกับผมไหมว่า แจ้คฆ่ายักษ์ได้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อผมได้เป็นที่ปรึกษาการประกันภัยนี้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยรายหนึ่ง ผมจึงแนะนำให้ร้องขอให้บริษัทประกันภัยเวลาออกกรมธรรม์ประกันภัยนี้ ให้ออกใบสลักหลังมาพร้อมกัน โดยระบุด้วยว่า จะยังคงความคุ้มครองต่อไป แม้ผู้เอาประกันภัยจะมีการโยกย้ายทรัพย์สินที่เอาประกันภัยออกไปนอกสถานที่เอาประกันภัย ส่วนจะใช้วิธีการร้องขอให้แนบเงื่อนไขพิเศษที่เกี่ยวข้อง เป็นต้นว่า แบบ อค./ทส. 1.09 การโยกย้ายทรัพย์สิน หรือ แบบ อค./ทส. 1.20 การเก็บสินค้าชั่วคราว หรือ แบบ อค./ทส. 1.58 การเก็บทรัพย์สิน ณ สถานที่แห่งอื่น แล้วแต่กรณีนั้น วิธีหลังผมยังไม่ใคร่มั่นใจร้อยเปอร์เซนต์ เพราะบังเอิญในย่อหน้าท้ายของข้อ 9 ดังกล่าว เขียนไว้ค่อนข้างชัดว่า "ออกใบสลักหลังแนบท้าย" ซึ่งผมยังกังวลอยู่ว่า "ใบสลักหลัง" กับ "เงื่อนไขพิเศษ" นั้น จะมีความหมายเหมือนกัน เพื่อความสบายใจ ขอใช้ทั้งสองวิธีจะดีกว่าครับ
วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2559
เรื่องที่ 19 : ข้อยกเว้นที่ไม่ใช่ข้อยกเว้น เงื่อนไขที่ไม่ใช่เงื่อนไข ตกลงเป็นข้อยกเว้นหรือเงื่อนไขกันแน่?
(ตอนที่สี่)
สำหรับเงื่อนไขข้อที่ 9 การระงับไปแห่งสัญญาประกันภัยของ กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ในข้อที่ 9.2 ระบุดังนี้
"ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เป็นอันระงับไปทันทีเมื่อ
9.2 สิ่งปลูกสร้างซึ่งเอาประกันภัยหรือสถานที่ตั้งทรัพย์สินที่เอาประกันภัยตกอยู่ในสภาพไม่มีผู้อยู่อาศัย หรือไม่มีผู้ดูแลรักษา และยังคงอยู่ในสภาพนั้นเป็นเวลาเกินกว่า 30 วันติดต่อกัน"
การที่สิ่งปลูกสร้างที่เอาประกันภัย หรือสถานที่เอาประกันภัยถูกปล่อยทิ้งร้างไว้โดยปราศจากผู้อยู่อาศัย หรือผู้ดูแลรักษานั้น ในแง่การประกันภัยถือเป็นการทำให้มีความเสี่ยงภัยเพิ่มสูงขึ้น เพราะโอกาสมีอุบัติภัยต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าปกติ ยิ่งถ้าถูกปล่อยทิ้งร้างไว้เป็นชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็เสมือนผู้เอาประกันภัยละทิ้งสถานที่แห่งนั้นโดยนัยสำคัญไปแล้ว ดังในกรมธรรม์ประกันภัยชนิดนี้ที่ให้ความคุ้มครองแบบสรรพภัย หากถูกทอดทิ้งติดต่อกันเกินกว่า 30 วัน จะส่งผลทำให้กรมธรรม์ประกันภัยสิ้นสุดความคุ้มครองทั้งหมดเลยทันที แต่ถ้าถูกละทิ้งเป็นครั้งคราว ไม่ได้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลา 30 วันนั้น ก็ดูเสมือนผู้เอาประกันภัยยังคงหมั่นไปจัดการดูแลบ้าง จึงไม่ส่งผลกระทบต่อความคุ้มครองตามเงื่อนไขข้อนี้ ภายใต้กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยก็มีเงื่อนไขลักษณะนี้ด้วยเช่นกัน แต่จำกัดระยะเวลาดังกล่าวไว้เนิ่นนานกว่า คือ 60 วันติดต่อกัน เพราะความคุ้มครองของ กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยจะน้อยกว่า มิได้เป็นลักษณะสรรพภัย
ปัญหาของเงื่อนไขข้อนี้ จะอยู่ที่การตีความคำว่า "ไม่มีผู้อยู่อาศัย" หรือ "ไม่มีผู้ดูแลรักษา" นั้น กินความถึงขนาดไหน อย่างไร เคยมีคำถามเทียบเคียงกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัยว่า บ้านที่เอาประกันภัยเป็นบ้านพักตากอากาศอยู่ในหมู่บ้านที่ต่างจังหวัด ปรากฏเจ้าของกับครอบครัวอาจเดินทางไปพักเพียงปีละหนสองหน แต่ในหมู่บ้านมียามขี่จักรยานคอยตะเวนดูแลรักษาความเรียบร้อยอยู่ในบริเวณหมู่บ้านทุกวันเป็นระยะ ๆ หรืออาจเป็นห้องคอนโดมิเนียมที่ผู้เอาประกันภัยซื้อทิ้งไว้ในจังหวัดท่องเที่ยวชายทะเล ปีหนึ่งก็แวะเวียนไปครั้งสองครั้งเช่นกัน แต่ในคอนโดมิเนียมมีคนจัดการดูแลตลอดเวลา ทั้งห้องอื่นก็มีคนพักอยู่ตลอดเวลาด้วย หรืออย่างช่วงเวลาใกล้เทศกาลสงกรานต์ จะมีโครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจ เช่นนี้ จะตีความว่า ทั้งบ้านดังกล่าว หรือห้องคอนโดมิเนียมนั้น ปราศจากผู้อยู่อาศัย หรือผู้ดูแลรักษาหรือเปล่า
เจตนารมณ์ดั้งเดิมของเงื่อนไขข้อนี้ หมายความถึง จะต้องมีคนอยู่อาศัย หรือคนเข้าไปดูแลภายในสิ่งปลูกสร้าง หรือสถานที่นั้นจริง ๆ เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยที่อยู่ภายใน มิได้หมายความถึง การดูแลเพียงภายนอกเท่านั้น เพราะไม่น่าจะช่วยปกป้องความเสี่ยงภัยอะไรให้เป็นผลได้มากนัก อย่างกรณีห้องคอนโดมิเนียมที่เอาประกันภัย แม้ห้องอื่น หรือในตึกจะมีคนอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ห้องที่เอาประกันภัยนั้น มิได้มีคนอยู่ หรือมอบหมายให้พนักงานประจำตึกเข้าไปตรวจสอบความเรียบร้อย และทำความสะอาดเป็นระยะเลย (ไม่เกินกว่า 30 วัน หรือ 60 วันติดต่อกัน แล้วแต่ชนิดของกรมธรรม์ประกันภัย) กรณีนี้จึงตกอยู่ในเงื่อนไขข้อที่ 9.2 นี้ได้
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขข้อนี้เกิดประเด็นข้อพิพาทขึ้นในต่างประเทศมากมาย โดยเฉพาะครอบครัวต่างประเทศเป็นครอบครัวเล็ก เมื่อลูกโตแล้ว อาจโยกย้ายแยกไปอยู่ต่างหาก ปล่อยพ่อแม่พักอยู่กันตามลำพัง หากเกิดเหลือพ่อหรือแม่อยู่เพียงคนเดียวในบ้าน เนื่องจากอีกฝ่ายเสียชีวิตไปแล้ว แล้วสมมุติแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ตามลำพังนั้น เกิดไม่สบาย ถูกนำตัวไปพักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือน บ้านของแม่หลังนั้นถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีใครดูแล หากเกิดอุบัติภัยขึ้นมาหลังจากครบช่วงเวลา 60 วันติดต่อกันแล้ว บริษัทประกันภัยจะหยิบยกเงื่อนไขข้อนี้มาปฎิเสธความรับผิด ดูจะเป็นธรรมหรือไม่
ศาลต่างประเทศเลยตีความหมายว่า การพิจารณาประเด็นนี้จำต้องอาศัยข้อเท็จจริงแล้วแต่กรณีประกอบเป็นสำคัญ คำว่า "ไม่มีผู้ดูแลรักษา (vacancy)" หมายถึง ลักษณะที่ไม่สามารถพักอาศัยอยู่ได้ ซึ่งต่างกับคำว่า "ไม่มีผู้ครอบครอง (unoccupancy)" ที่อยู่ในสภาพพักอาศัยอยู่ได้ เพียงแต่ไม่มีผู้พักอาศัยอยู่เท่านั้น เทียบเคียงกับคดี Heheman v. Michigan Miller's Mutual Insurance Company, 240 So. 2d 851 (fla. 4th DCA 1970) ไม่อาจตีความลักษณะเหมารวมไปได้ ฉะนั้น กรณีแม่ที่ป่วยอยู่โรงพยาบาล ปล่อยบ้านทิ้งไว้ จึงต้องตีความว่า ยังไม่ถึงขนาดปราศจากผู้ดูแลรักษาดังเงื่อนไข้อ 9.2 นี้
บังเอิญเท่าที่ทราบ ยังไม่เคยเกิดข้อพิพาทในประเด็นนี้ขึ้นในศาลไทย และถ้ามีขึ้น ศาลไทยจะตีความอย่างไร หากบริษัทประกันภัยยกเงื่อนไขข้อนี้มาปฏิเสธ
ตอนต่อไป เราจะมาพูดถึงข้อต่อไปของเงื่อนไขนี้ และตอนท้ายสุดก็จะมาสรุปถึงประเด็นตามชื่อบทความนี้กันครับ
(ตอนที่สี่)
สำหรับเงื่อนไขข้อที่ 9 การระงับไปแห่งสัญญาประกันภัยของ กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ในข้อที่ 9.2 ระบุดังนี้
"ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เป็นอันระงับไปทันทีเมื่อ
9.2 สิ่งปลูกสร้างซึ่งเอาประกันภัยหรือสถานที่ตั้งทรัพย์สินที่เอาประกันภัยตกอยู่ในสภาพไม่มีผู้อยู่อาศัย หรือไม่มีผู้ดูแลรักษา และยังคงอยู่ในสภาพนั้นเป็นเวลาเกินกว่า 30 วันติดต่อกัน"
การที่สิ่งปลูกสร้างที่เอาประกันภัย หรือสถานที่เอาประกันภัยถูกปล่อยทิ้งร้างไว้โดยปราศจากผู้อยู่อาศัย หรือผู้ดูแลรักษานั้น ในแง่การประกันภัยถือเป็นการทำให้มีความเสี่ยงภัยเพิ่มสูงขึ้น เพราะโอกาสมีอุบัติภัยต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าปกติ ยิ่งถ้าถูกปล่อยทิ้งร้างไว้เป็นชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็เสมือนผู้เอาประกันภัยละทิ้งสถานที่แห่งนั้นโดยนัยสำคัญไปแล้ว ดังในกรมธรรม์ประกันภัยชนิดนี้ที่ให้ความคุ้มครองแบบสรรพภัย หากถูกทอดทิ้งติดต่อกันเกินกว่า 30 วัน จะส่งผลทำให้กรมธรรม์ประกันภัยสิ้นสุดความคุ้มครองทั้งหมดเลยทันที แต่ถ้าถูกละทิ้งเป็นครั้งคราว ไม่ได้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลา 30 วันนั้น ก็ดูเสมือนผู้เอาประกันภัยยังคงหมั่นไปจัดการดูแลบ้าง จึงไม่ส่งผลกระทบต่อความคุ้มครองตามเงื่อนไขข้อนี้ ภายใต้กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยก็มีเงื่อนไขลักษณะนี้ด้วยเช่นกัน แต่จำกัดระยะเวลาดังกล่าวไว้เนิ่นนานกว่า คือ 60 วันติดต่อกัน เพราะความคุ้มครองของ กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยจะน้อยกว่า มิได้เป็นลักษณะสรรพภัย
ปัญหาของเงื่อนไขข้อนี้ จะอยู่ที่การตีความคำว่า "ไม่มีผู้อยู่อาศัย" หรือ "ไม่มีผู้ดูแลรักษา" นั้น กินความถึงขนาดไหน อย่างไร เคยมีคำถามเทียบเคียงกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัยว่า บ้านที่เอาประกันภัยเป็นบ้านพักตากอากาศอยู่ในหมู่บ้านที่ต่างจังหวัด ปรากฏเจ้าของกับครอบครัวอาจเดินทางไปพักเพียงปีละหนสองหน แต่ในหมู่บ้านมียามขี่จักรยานคอยตะเวนดูแลรักษาความเรียบร้อยอยู่ในบริเวณหมู่บ้านทุกวันเป็นระยะ ๆ หรืออาจเป็นห้องคอนโดมิเนียมที่ผู้เอาประกันภัยซื้อทิ้งไว้ในจังหวัดท่องเที่ยวชายทะเล ปีหนึ่งก็แวะเวียนไปครั้งสองครั้งเช่นกัน แต่ในคอนโดมิเนียมมีคนจัดการดูแลตลอดเวลา ทั้งห้องอื่นก็มีคนพักอยู่ตลอดเวลาด้วย หรืออย่างช่วงเวลาใกล้เทศกาลสงกรานต์ จะมีโครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจ เช่นนี้ จะตีความว่า ทั้งบ้านดังกล่าว หรือห้องคอนโดมิเนียมนั้น ปราศจากผู้อยู่อาศัย หรือผู้ดูแลรักษาหรือเปล่า
เจตนารมณ์ดั้งเดิมของเงื่อนไขข้อนี้ หมายความถึง จะต้องมีคนอยู่อาศัย หรือคนเข้าไปดูแลภายในสิ่งปลูกสร้าง หรือสถานที่นั้นจริง ๆ เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยที่อยู่ภายใน มิได้หมายความถึง การดูแลเพียงภายนอกเท่านั้น เพราะไม่น่าจะช่วยปกป้องความเสี่ยงภัยอะไรให้เป็นผลได้มากนัก อย่างกรณีห้องคอนโดมิเนียมที่เอาประกันภัย แม้ห้องอื่น หรือในตึกจะมีคนอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ห้องที่เอาประกันภัยนั้น มิได้มีคนอยู่ หรือมอบหมายให้พนักงานประจำตึกเข้าไปตรวจสอบความเรียบร้อย และทำความสะอาดเป็นระยะเลย (ไม่เกินกว่า 30 วัน หรือ 60 วันติดต่อกัน แล้วแต่ชนิดของกรมธรรม์ประกันภัย) กรณีนี้จึงตกอยู่ในเงื่อนไขข้อที่ 9.2 นี้ได้
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขข้อนี้เกิดประเด็นข้อพิพาทขึ้นในต่างประเทศมากมาย โดยเฉพาะครอบครัวต่างประเทศเป็นครอบครัวเล็ก เมื่อลูกโตแล้ว อาจโยกย้ายแยกไปอยู่ต่างหาก ปล่อยพ่อแม่พักอยู่กันตามลำพัง หากเกิดเหลือพ่อหรือแม่อยู่เพียงคนเดียวในบ้าน เนื่องจากอีกฝ่ายเสียชีวิตไปแล้ว แล้วสมมุติแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ตามลำพังนั้น เกิดไม่สบาย ถูกนำตัวไปพักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือน บ้านของแม่หลังนั้นถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีใครดูแล หากเกิดอุบัติภัยขึ้นมาหลังจากครบช่วงเวลา 60 วันติดต่อกันแล้ว บริษัทประกันภัยจะหยิบยกเงื่อนไขข้อนี้มาปฎิเสธความรับผิด ดูจะเป็นธรรมหรือไม่
ศาลต่างประเทศเลยตีความหมายว่า การพิจารณาประเด็นนี้จำต้องอาศัยข้อเท็จจริงแล้วแต่กรณีประกอบเป็นสำคัญ คำว่า "ไม่มีผู้ดูแลรักษา (vacancy)" หมายถึง ลักษณะที่ไม่สามารถพักอาศัยอยู่ได้ ซึ่งต่างกับคำว่า "ไม่มีผู้ครอบครอง (unoccupancy)" ที่อยู่ในสภาพพักอาศัยอยู่ได้ เพียงแต่ไม่มีผู้พักอาศัยอยู่เท่านั้น เทียบเคียงกับคดี Heheman v. Michigan Miller's Mutual Insurance Company, 240 So. 2d 851 (fla. 4th DCA 1970) ไม่อาจตีความลักษณะเหมารวมไปได้ ฉะนั้น กรณีแม่ที่ป่วยอยู่โรงพยาบาล ปล่อยบ้านทิ้งไว้ จึงต้องตีความว่า ยังไม่ถึงขนาดปราศจากผู้ดูแลรักษาดังเงื่อนไข้อ 9.2 นี้
บังเอิญเท่าที่ทราบ ยังไม่เคยเกิดข้อพิพาทในประเด็นนี้ขึ้นในศาลไทย และถ้ามีขึ้น ศาลไทยจะตีความอย่างไร หากบริษัทประกันภัยยกเงื่อนไขข้อนี้มาปฏิเสธ
ตอนต่อไป เราจะมาพูดถึงข้อต่อไปของเงื่อนไขนี้ และตอนท้ายสุดก็จะมาสรุปถึงประเด็นตามชื่อบทความนี้กันครับ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)