วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

เรื่องที่ 223 : ผู้ใดควรรับผิดชอบต่อการกระทำผิดของพนักงานรับเหมาค่าแรงภายนอก (Outsourcing Employee)?

 

หลายปีแล้วได้เขียนบทความเรื่องที่ 146 : จงใจทำร้ายผู้อื่น (Deliberate Act) ถือเป็นอุบัติเหตุภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก (Public Liability Insurance Policy) หรือไม่?

 

ครานี้ได้หยิบยกตัวอย่างคดีศึกษาทำนองเดียวกัน แต่มีประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติมแตกต่างจากครั้งที่แล้ว

 

แม้นจะมีพนักงานหน้าประตู (doorman) ของสถานบันเทิงไปก่อเหตุทำร้ายนักเที่ยวจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นเดียวกัน แต่มีข้อโต้แย้งเพิ่มเติม เนื่องจากพนักงานหน้าประตูรายนั้นไม่ใช่ลูกจ้างโดยตรงของสถาบันเทิงแห่งนั้น แต่เป็นลูกจ้างรับเหมาค่าแรงจากภายนอก (outsourcing employee)

 

ผู้ใดควรต้องรับผิดชอบกันแน่ระหว่าง?

 

1) ผู้จัดหาแรงงานภายนอก (outsourcing employer) ซึ่งเป็นผู้จัดหาแรงงานภายนอก และเป็นผู้จ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงจากภายนอกรายนั้นโดยตรงเองเพียงลำพัง หรือ

 

2) เจ้าของสถานบันเทิงแห่งนั้น ซึ่งเป็นผู้ควบคุม และจัดหาชุดเครื่องแบบเสื้อผ้าแก่ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงจากภายนอกโดยตรงเพียงลำพัง หรือ

 

3) ทั้งผู้จัดหาแรงงานภายนอก (outsourcing employer) รายนั้นกับเจ้าของสถานบันเทิงแห่งนั้นรับผิดร่วมกัน (dual vicarious liability) หรือ

 

4) บริษัทประกันภัยซึ่งให้ความคุ้มครองกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก (Public Liability Insurance Policy) ของผู้จัดหาแรงงานภายนอก (outsourcing employer) รายนั้นเข้ามารับผิดแทน

 

เมื่อเป็นคดีขึ้นสู่ศาล โดยผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องทั้งสามรายเป็นจำเลยร่วมกันให้ชดใช้ค่าเสียหาย

 

ระหว่างพิจารณาคดี ผู้จัดหาแรงงานภายนอก (outsourcing employer) รายนั้นตกเป็นบุคคลล้มละลาย และไม่มีผู้ใดมาต่อสู้คดีแทน

 

ศาลชั้นต้นได้ตัดสินให้เจ้าของสถานบันเทิงแห่งนั้นกับบริษัทประกันภัยของผู้จัดหาแรงงานภายนอก (outsourcing employer) รายนั้นรับผิดชอบร่วมกัน

 

ทั้งคู่ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาแยกเป็นประเด็นดังต่อไปนี้

 

1) ผู้จัดหาแรงงานภายนอก (outsourcing employer) รายนั้น

 

เจ้าของสถานบันเทิงแห่งนั้นพยายามต่อสู้ว่า ตนไม่ใช่นายจ้างโดยตรงของผู้กระทำผิด แต่ข้อโต้แย้งรับฟังไม่ขึ้น เพราะเจ้าของสถานบันเทิงแห่งนั้นมีอำนาจสั่งการแก่ผู้กระทำผิด ทั้งตลอดระยะเวลาสองปีที่ผู้กระทำผิดทำงานอยู่ในเจ้าของสถานบันเทิงแห่งนั้นต้องแต่งตัวอยู่ในชุดฟอร์มที่เจ้าของสถานบันเทิงแห่งนั้นจัดหามาให้ และต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของเจ้าของสถานบันเทิงแห่งนั้นด้วย คนทั่วไปต่างรับรู้ และสำคัญว่า ผู้กระทำผิด คือ พนักงานของเจ้าของสถานบันเทิงแห่งนั้น ถึงแม้นผู้จัดหาแรงงานภายนอก (outsourcing employer) รายนั้นเป็นผู้คัดเลือก และจ่ายค่าจ้างให้แก่ผู้กระทำผิดเองก็ตาม แต่อำนาจในการควบคุมสั่งการกับความรับผิดชอบได้ถูกถ่ายโอนไปสู่เจ้าของสถานบันเทิงแห่งนั้นแล้ว เจ้าของสถานบันเทิงแห่งนั้นจึงเปรียบเสมือนเป็นนายจ้างชั่วคราว (temporary deemed employer) ของผู้กระทำผิด โดยที่ผู้จัดหาแรงงานภายนอก (outsourcing employer) รายนั้นไม่ได้มีอำนาจควบคุมโดยตรงต่อพฤติกรรมในการกระทำผิดของผู้กระทำผิดโดยเฉพาะในคืนวันที่เกิดเหตุเลย

 

2) เจ้าของสถานบันเทิงแห่งนั้น

 

ตลอดช่วงระยะเวลาสองปีที่ผู้กระทำผิดได้ทำงานให้ และในช่วงเวลาที่ก่อเหตุด้วย เจ้าของสถานบันเทิงแห่งนั้นมีอำนาจในการควบคุมสั่งการแก่ผู้กระทำผิดอย่างเต็มที่ จึงเปรียบได้เสมือนเป็นนายจ้างชั่วคราว (temporary deemed employer) ของผู้กระทำผิด และจำต้องรับผิดชอบเองโดยลำพังต่อการกระทำผิดที่เข้าไปชกใบหน้าของนักเที่ยวจนได้รับบาดเจ็บสาหัสดังกล่าว

 

3) บริษัทประกันภัยของผู้จัดหาแรงงานภายนอก (outsourcing employer) รายนั้น

 

บริษัทประกันภัยได้หยิบยกข้อโต้แย้งมาต่อสู้ ดังนี้

 

3.1) เนื่องจากกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกฉบับพิพาทได้ระบุคุ้มครองถึงการบาดเจ็บทางร่างกายโดยอุบัติเหตุ (accidental bodily injury) แก่บุคคลภายนอก คำว่า “โดยอุบัติเหตุ” หมายความถึง สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยไม่ได้มุ่งหวัง หรือโดยเจตนา ซึ่งการที่ผู้กระทำผิดเข้าไปชกทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ไม่ถือเป็นการกระทำโดยอุบัติเหตุ แต่เป็นการกระทำโดยเจตนา จึงไม่อยู่ในความหมายดังกล่าวอันจะทำให้ได้รับความคุ้มครองได้

 

ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับศาลชั้นต้นว่า การพิจารณาถึงการกระทำใดจะเป็นอุบัติเหตุหรือไม่นั้น? ตามหลักของการประกันภัยให้ตีความจากฝ่ายตัวผู้เอาประกันภัยเองเป็นเกณฑ์ ซึ่งในคดีนี้ ผู้เอาประกันภัย คือ ผู้จัดหาแรงงานภายนอก (outsourcing employer) รายนั้นไม่ได้ลงมือกระทำโดยเจตนา ตัวลูกจ้างผู้กระทำผิดต่างหากที่เป็นผู้กระทำการดังกล่าวนั้นเอง ซึ่งทั้งผู้จัดหาแรงงานภายนอก (outsourcing employer) รายนั้นกับเจ้าของสถานบันเทิงแห่งนั้นต่างได้ยอมรับแต่แรกแล้วว่า การกระทำเช่นว่านั้นของผู้กระทำผิดอยู่ในทางการที่จ้าง จึงถือเป็นอุบัติเหตุที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท

 

3.2) ส่วนข้อโต้แย้งที่ว่า เมื่อเจ้าของสถานบันเทิงแห่งนั้นจำต้องรับผิดโดยลำพัง โดยที่ผู้จัดหาแรงงานภายนอก (outsourcing employer) รายนั้นไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย เหตุใดจะต้องให้บริษัทประกันภัยของผู้จัดหาแรงงานภายนอก (outsourcing employer) รายนั้นมาร่วมรับผิดกับเจ้าของสถานบันเทิงแห่งนั้นด้วย เป็นข้อโต้แย้งที่ไม่ได้หยิบยกมาต่อสู้ตั้งแต่ต้น ศาลอุทธรณ์ไม่อาจรับฟังได้

 

สรุป คดีนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำตัดสินของศาลชั้นต้นที่ให้เจ้าของสถานบันเทิงแห่งนั้นกับบริษัทประกันภัยของผู้จัดหาแรงงานภายนอก (outsourcing employer) รายนั้นร่วมกันรับผิดต่อผู้เสียหาย

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Hawley v. Luminar Leisure Ltd & Ors ([2006] EWCA Civ 18)

 

หมายเหตุ

 

พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม บัญญัติว่า

 

มาตรา 11/1 ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการมอบหมายให้บุคคลหนึ่ง บุคคลใดเป็นผู้จัดหาคนมาทํางานอันมิใช่การประกอบธุรกิจจัดหางาน โดยการทํางานนั้นเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดในกระบวนการผลิต หรือธุรกิจในความรับผิดชอบของผู้ประกอบกิจการ

และโดยบุคคลนั้นจะเป็นผู้ควบคุมดูแลการทํางาน หรือรับผิดชอบในการจ่ายค่าจ้างให้แก่คนที่มาทํางานนั้นหรือไม่ก็ตาม ให้ถือว่า ผู้ประกอบกิจการเป็นนายจ้างของคนที่มาทํางานดังกล่าว

 

ให้ผู้ประกอบกิจการดําเนินการให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงที่ทํางานในลักษณะเดียวกันกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรง ได้รับสิทธิประโยชน์ และสวัสดิการที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

 

 

วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

เรื่องที่ 222 : ผู้รับจ้าง (Contractor) ติดตั้งและบำรุงรักษาระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิง (Sprinkler System) ควรต้องรับผิดต่อเหตุน้ำรั่วไหลสร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้ว่าจ้าง (Principal) กับของบุคคลภายนอก (Third Party) หรือไม่?

 

(ตอนที่สอง)

 

ยกแรกศาลชั้นต้น

 

บริษัทจำหน่ายระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงเจ้านี้ในฐานะจำเลย ปฏิเสธความรับผิดโดยต่อสู้ว่า

 

1) บริษัทประกันภัยทรัพย์สินในฐานะผู้รับช่วงสิทธิจากผู้เช่าอาคารรายที่ติดตั้งระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงนั้น

 

เนื่องด้วยข้อกำหนดข้อหนึ่งของสัญญาว่าจ้างบำรุงรักษาระหว่างผู้เช่าอาคารรายที่ติดตั้งระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงนั้นในฐานะผู้ว่าจ้างกับบริษัทจำหน่ายระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงเจ้านี้ในฐานะผู้รับจ้างได้ระบุว่า หากมีความเสียหายใดเกิดขึ้นมา บริษัทประกันภัย หรือบุคคลภายนอกรายใดจะไม่สามารถรับช่วงสิทธิมาไล่เบี้ยเอาผิด (subrogation waiver) กับบริษัทจำหน่ายระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงเจ้านี้ได้ เนื่องจากผู้เช่าอาคารรายนั้นจะเข้ามารับผิดเองด้วยการจัดหาประกันภัยมาคุ้มครองแทน อันเป็นการแสดงถึงเจตนารมณ์อย่างชัดแจ้งของคู่สัญญาว่าจ้างที่ให้มีการโอนภาระความรับผิดที่จะเกิดขึ้นไปสู่บริษัทประกันภัยแทน

 

2) ผู้เช่ารายอื่นที่เสียหาย

 

ตนไม่ได้มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบไปถึงด้วย เพราะไม่มีข้อผูกพันตามสัญญาว่าจ้างกับผู้เช่ารายอื่นที่เสียหายเหล่านั้น (Non-Contract Tenants) เพียงแต่มีข้อผูกพันตามสัญญาว่าจ้างกับผู้เช่าอาคารรายที่ติดตั้งระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงนั้นในฐานะผู้ว่าจ้างเท่านั้น

 

ศาลชั้นต้นไม่เห็นพ้องกับข้อต่อสู้ของฝ่ายจำเลย ตัดสินให้ฝ่ายจำเลยรับผิดแก่ฝ่ายโจทก์ทุกราย

 

จำเลยยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำตัดสินนั้น

 

ยกที่สองศาลชั้นอุทธรณ์

 

ศาลอุทธรณ์พิจารณาประเด็นข้อพิพาท ดังนี้

 

1) บริษัทประกันภัยทรัพย์สินในฐานะผู้รับช่วงสิทธิจากผู้เช่าอาคารรายที่ติดตั้งระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงนั้น

 

ฝ่ายจำเลยคงยืนกรานถึงการแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดแจ้งของคู่สัญญาว่าจ้างที่กำหนดให้มีการโอนภาระความรับผิดที่อาจจะเกิดขึ้นไปสู่บริษัทประกันภัยเพื่อรับผิดชอบแทน ตนจึงไม่จำต้องรับผิดใด ๆ ทั้งสิ้นอีก

 

ผู้เช่าอาคารคู่สัญญาว่าจ้างฝ่ายโจทก์โต้แย้งว่า การกระทำที่เป็นประเด็นของพนักงานตรวจสอบของบริษัทจำหน่ายระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงเจ้านี้ไม่อยู่ในเงื่อนไขของสัญญาว่าจ้างนั้น เพราะเป็นการร้องขอโดยตรงจากผู้ให้เช่าอาคาร โดยที่ผู้ว่าจ้างในฐานะคู่สัญญาว่าจ้างนั้นไม่ได้รับรู้ และไม่ได้เห็นชอบด้วยเลย

 

ข้อโต้แย้งข้างต้นของฝ่ายโจทก์ ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย และตัดสินยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

 

2) ผู้เช่ารายอื่นที่เสียหาย

 

ฝ่ายจำเลยอ้างเช่นเดิมว่า ตนเพียงมีภาระผูกพันตามสัญญาว่าจ้างกับผู้เช่าอาคารรายที่ติดตั้งระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงนั้นในฐานะผู้ว่าจ้างตามขอบเขตงานที่ตกลงกันเท่านั้น และไม่จำต้องรับผิดแก่บุคคลอื่นที่ไม่ใช่คู่สัญญาว่าจ้างแต่ประการใด อีกทั้งตามหลักกฎหมายแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาที่เรียกว่า “หลักการยอมรับงาน (acceptance rule)” ซึ่งวางแนวทางไว้ว่า ผู้รับเหมา หรือผู้ซ่อมไม่จำต้องรับผิดสำหรับความเสียหายโดยประมาทเลินเล่อที่เกิดแก่ตัวงานที่ตนได้ทำต่อบุคคลภายนอก ภายหลังจากเมื่อผู้ว่าจ้างได้รับมอบงานนั้นไปแล้ว

 

ฝ่ายผู้เช่ารายอื่นที่เสียหายพยายามโต้แย้งว่า หลักการเช่นว่านี้เสมือนทำให้ผู้รับจ้างทำงานโดยไม่ใส่ใจถึงความปลอดภัยของบุคคลอื่น นอกจากของคู่สัญญาว่าจ้างของตนเท่านั้น ไม่น่าจะเป็นธรรม

 

อันที่จริง มีหลักกฎหมายอื่นอยู่อีกที่เรียกว่า “หลักการสมัยใหม่ หรือหลักการความคาดหวังได้ (modern rule or foreseeability doctrine)” ซึ่งบางศาลได้วางแนวทางใหม่ที่ยืดหยุ่นกว่าไว้ว่า หากผู้รับเหมา หรือผู้รับจ้างสามารถคาดหวังได้ตามสมควรว่า งานของตนที่กระทำด้วยความประมาทเลินเล่ออาจจะก่อให้เกิดความบาดเจ็บทางร่างกาย หรือความเสียหายต่อทรัพย์สินแก่บุคคลภายนอกอื่นได้ ก็จะต้องมีความรับผิดตามไปด้วยถึงแม้นจะบังเกิดขึ้นหลังจากเมื่อผู้ว่าจ้างได้รับมอบงานนั้นไปแล้วก็ตาม

 

หลักการสมัยใหม่นี้น่าจะสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้เสียหายที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้มากกว่า

 

อย่างไรก็ดี องค์คณะศาลอุทธรณ์เสียงข้างมากเห็นพ้องกับฝ่ายจำเลย โดยตัดสินใจให้ฝ่ายจำเลยไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง เพราะมีเพียงความเสียหายต่อทรัพย์สินเท่านั้น

 

ยกที่สามศาลชั้นสูงสุด

 

เมื่อคดีได้ขึ้นมาสู่ศาลสูงสุดก็ได้มีคำวินิจฉัยออกมา ดังนี้

 

1) บริษัทประกันภัยทรัพย์สินในฐานะผู้รับช่วงสิทธิจากผู้เช่าอาคารรายที่ติดตั้งระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงนั้น

 

ศาลสูงสุดเห็นคล้อยตามกับฝ่ายจำเลย เนื่องด้วยข้อกำหนดดังอ้างอิงของสัญญาว่าจ้างนั้นได้เขียนไว้ค่อนข้างกว้างโดยไม่มีการจำแนกขอบเขตระหว่างงานตามสัญญาว่าจ้างกับงานที่ไม่ใช่ตามสัญญาว่าจ้างอย่างชัดแจ้ง คงใช้คำว่า “งาน” ลอย ๆ ถ้าคู่สัญญาว่าจ้างประสงค์จะวางกรอบขอบเขตงานให้จำกัดลงก็สามารถกระทำได้อยู่แล้ว เมื่อไม่ได้ทำเช่นว่านั้น จำต้องตีความไปตามถ้อยคำที่ร่างกันไว้นั้น ด้วยเหตุผลนี้ ศาลสูงสุดจึงวินิจฉัยให้ฝ่ายจำเลยไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง

 

2) ผู้เช่ารายอื่นที่เสียหาย

 

ศาลสูงสุดมีความเห็นยืนตามว่า ฝ่ายจำเลยไม่จำต้องรับผิดเช่นเดียวกัน และสั่งให้ย้อนคดีกลับมาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาตัดสินอีกครั้งหนึ่ง

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี U.S. Automatic Sprinkler Corporation v. Erie Insurance Exchange, 204 N.E.3d 215 (Ind. 2023))

 

หมายเหตุ

 

เมื่อผู้รับจ้างไม่จำต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกแล้ว คุณคิดว่าภาระความรับผิดเช่นว่านั้นจะไปอยู่ที่ใคร? ถ้าไม่ใช่ผู้เช่าอาคารรายนั้นในฐานะผู้ว่าจ้าง

 

แม้นจะเป็นตัวอย่างคดีศึกษาจากต่างประเทศ แต่สามารถปรับเทียบเคียงได้กับบ้านเราได้ ลองนึกดูนะครับว่า

 

ตัวอย่างกรณีงานก่อสร้าง หรืองานติดตั้งในบ้านเรา เมื่อผู้รับเหมาสร้างเสร็จส่งมอบงานให้แก่ผู้ว่าจ้างเรียบร้อยแล้ว ภายหลังความบกพร่องของตัวงานนั้นไปส่งผลทำให้บุคคลภายนอกเสียหาย คุณคิดว่า ผู้ใดควรจะต้องรับผิดชอบบ้าง? ต่อให้ได้มีการขยายระยะเวลาบำรุงรักษา (maintenance period) ไว้ด้วยแล้วก็เถอะ

 

หรือในแง่ของรถยนต์ เจ้าของนำรถยนต์ไปซ่อม ช่างซ่อมเสร็จส่งมอบคืนแก่เจ้าของรถแล้ว แต่เวลานำไปใช้งานตามปกติ ยังพบความบกพร่องจนถึงขนาดไปสร้างความเสียหายแก่บุคคลอื่น ใครบ้างควรต้องรับผิดชอบ?

 

หรือกรณีนิติบุคคลของคอนโดว่าจ้างบริษัทยามมาดูแลรักษาความปลอดภัยภายใน ทรัพย์สินของเจ้าห้องชุดหายไป ใครบ้างควรต้องรับผิดชอบ?

  

คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ให้ระวังถ้อยคำของข้อตกลงสัญญาว่าจ้างเหล่านั้นว่า มีความครอบคลุม และชัดเจนมากน้อยขนาดไหน?


บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/