วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2566

เรื่องที่ 181 : ข้อยกเว้นความเสียหายซึ่งพบเมื่อตรวจสอบบัญชีสินค้า (Loss disclosed on taking inventory) กับการเรียกเก็บค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยเบ็ดเสร็จคุ้มครองผู้ค้าอัญมณี (Jewellers’ Block Insurance Policy)

 

(ตอนที่หนึ่ง)

 

กรมธรรม์ประกันภัยเบ็ดเสร็จคุ้มครองผู้ค้าอัญมณี (Jewellers’ Block Insurance Policy) คือ กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินประเภทหนึ่ง ซึ่งถูกออกแบบเฉพาะเพื่อให้ความคุ้มครองแบบความเสี่ยงภัยทุกชนิด (สรรพภัย) แก่ผู้ค้าอัญมณี ซึ่งในมุมมองของบริษัทประกันภัยมีความเสี่ยงภัยค่อนข้างสูง ทำให้จำต้องร่างถ้อยคำออกมาเป็นพิเศษให้สามารถรองรับกับลักษณะจำเพาะในการประกอบธุรกิจของผู้ค้าอัญมณีนั้น ๆ

 

ในบ้านเราพบเห็นมีขายเฉพาะบางบริษัทประกันภัยเท่านั้น ซึ่งได้ยื่นขอรับอนุมัติให้ขายได้จากสำนักงาน คปภ. เป็นการเฉพาะราย จึงไม่ใคร่ปรากฏเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังมากนัก

 

ตัวอย่างคดีศึกษาต่างประเทศนี้ได้เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาทขึ้นมาสองประเด็น ได้แก่

 

1) ความเสียหายที่เกิดขึ้นมานั้นตกอยู่ในข้อยกเว้นว่าด้วยความสูญเสีย หรือความเสียหายโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยไม่ปรากฏร่องรอย หรือความสูญเสีย หรือความเสียหาย หรือการขาดหายไป ซึ่งพบเมื่อตรวจสอบบัญชีสินค้า (unexplained loss, mysterious disappearance or loss or damage or shortage disclosed on taking inventory) หรือไม่?

 

ซึ่งถือเป็นข้อยกเว้นมาตรฐานที่พบเห็นได้ทั่วไป ในกรมธรรม์ประกันภัยชนิดนี้ หรือกระทั่งกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินอื่น ๆ

 

2) การเรียกเก็บค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) ซึ่งเป็นจำนวนเงินส่วนแรกที่ผู้เอาประกันภัยจำต้องรับผิดชอบเอง สำหรับความเสียหายแต่ละครั้ง และทุกครั้ง (for each and every loss) จะดำเนินการเช่นไร?

 

หากกรณีความสูญเสีย หรือความเสียหายโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยไม่ปรากฏร่องรอย หรือความสูญเสีย หรือความเสียหาย หรือการขาดหายไป ซึ่งพบเมื่อตรวจสอบบัญชีสินค้านั้นได้รับความคุ้มครองขึ้นมา เมื่อไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า เกิดความเสียหายขึ้นมากี่ครั้งกันแน่?

 

ความซับซ้อนที่เพิ่มมากขึ้น

 

คดีนี้ ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการค้าอัญมณีแบบขายส่ง อันประกอบด้วยของมีค่าจำพวกแหวนเพชร เครื่องประดับที่มีลักษณะห้อย (pendants) สร้อยข้อมือ และสายสร้อยต่าง ๆ ในกรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดทำกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินที่เอาประกันภัยซึ่งเป็นของมีค่าดังกล่าวผ่านนายหน้าประกันวินาศภัยเจ้าหนึ่ง โดยจัดแบ่งการประกันภัยออกเป็นสองช่วงชั้น กล่าวคือ

 

ก) ช่วงชั้นแรก (Primary Layer) ที่เป็นความคุ้มครองพื้นฐานมีวงเงินอยู่ 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ และมีค่าเสียหายส่วนแรกที่ 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับความเสียหายแต่ละครั้ง และทุกครั้ง

 

ข) ช่วงชั้นส่วนเกิน (Excess Layer) ที่ให้ความคุ้มครองส่วนเกินจากความคุ้มครองพื้นฐานดังกล่าว ในวงเงิน 3,500,000 ดอลลาร์สหรัฐ และมีค่าเสียหายส่วนแรกที่ 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับความเสียหายแต่ละครั้ง และทุกครั้ง

 

ทั้งสองช่วงชั้นถูกรับประกันภัย (ต่อ) โดยคณะผู้รับประกันภัยของลอยด์ (Lloyds’ syndicate) จากสถาบันลอยด์แห่งประเทศอังกฤษ รวมทั้งสิ้น 12 ราย

 

ใช้กรมธรรม์ประกันภัยมาตรฐานของสถาบันลอยด์ ซึ่งให้ความคุ้มครองแบบความเสี่ยงภัยทุกชนิดแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย เว้นแต่ที่ได้ถูกระบุยกเว้นเอาไว้

 

โดยในข้อยกเว้นที่ว่าด้วยความสูญเสีย หรือความเสียหายโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยไม่ปรากฏร่องรอย หรือความสูญเสีย หรือความเสียหาย หรือการขาดหายไป ซึ่งพบเมื่อตรวจสอบบัญชีสินค้า (unexplained loss, mysterious disappearance or loss or damage or shortage disclosed on taking inventory) นั้นได้มีการตกลงกันเป็นพิเศษให้ตัดทิ้งไป และถูกทดแทนด้วยใบสลักหลังเขียนว่า

 

ไม่คุ้มครองสินค้าที่สูญหายไป ณ เวลาเมื่อตรวจสอบบัญชีสินค้า ในกรณีซึ่งมิได้มีการแจ้งความเสียหายขึ้นมาก่อนหน้านั้น เว้นแต่ความเสียหายนั้น ผู้เอาประกันภัยสามารถพิสูจน์ได้ว่า เกิดขึ้นมาจากภัยที่คุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้” (หรืออีกนัยหนึ่งลดข้อยกเว้นนี้ลงบางส่วน เพื่อให้คุ้มครองเพิ่มขึ้นนั่นเอง)

 

เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดข้อพิพาทนี้ คือ เมื่อผู้เอาประกันภัยได้เริ่มทำการตรวจสอบบัญชีสินค้าทั้งระบบครั้งล่าสุดในเดือนกันยายน ค.ศ. 1995 ด้วยการสอบทานจำนวนสินค้าที่มีอยู่จริงกับที่ปรากฏในบัญชี  

 

ในช่วงระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ. 1995 กับเดือนมกราคม ค.ศ. 1996 ได้พบสินค้าบางจำนวนขาดหายไป กระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1996 ก็ยังหาข้อสรุปไม่ชัดเจนว่า สินค้าที่ขาดหายไปนั้นเนื่องจากสาเหตุใด และยังไม่นึกจะเข้าข่ายความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ได้หรือเปล่า?

 

อย่างไรก็ดี ผู้เอาประกันภัยได้บอกกล่าวถึงเรื่องราวนี้ให้แก่นายหน้าประกันวินาศภัยของตนให้รับทราบเบื้องต้น

 

จวบจนเมื่อกลางเดือนมีนาคม ค.ศ. 1996 ปรากฏข้อมูลชัดเจนออกมาแล้วว่า มีสินค้าบางส่วนขาดหายไปจริงโดยไม่ทราบสาเหตุ นายหน้าประกันวินาศภัยรายนี้จึงได้แจ้งเรื่องต่อบริษัทประกันภัยนั้นโดยทันที และในวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1996 อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้บริษัทประกันภัยนั้นจัดส่งผู้ประเมินวินาศภัย (loss adjuster) เข้ามาตรวจพิสูจน์ต่อไป

 

ขอต่อเรื่องราวบทสรุปผลทางคดีนี้ในสัปดาห์หน้าครับ

 

บริการ

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com ต่างกัน

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

 

 

 

วันอังคารที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2566

เรื่องที่ 180 : ผู้ผลิตสินค้าจำต้องรับผิด สำหรับความเสียหายที่เกิดจากของทำเทียม/เลียนแบบสินค้าของตนไหม?

 

(ตอนที่สอง)

 

จากเรื่องราวตัวอย่างคดีศึกษาในตอนที่หนึ่ง และคำถามทิ้งท้ายที่ว่า

 

1) ผู้ผลิตยาจำต้องรับผิดตามฟ้องบ้างไหม?

 

2) ร้านยาขายปลีกจำต้องรับผิดตามฟ้องไหม?

 

ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยตามข้อกล่าวหาแล้ว มีความเห็น ดังนี้

 

1) ผู้ผลิตยาจำต้องรับผิดตามฟ้องบ้างไหม?

 

โจทก์ผู้เสียหายฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะประกอบธุรกิจในการผลิต และการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาต่าง ๆ รวมถึงยาปลอมตามฟ้องด้วย โดยเป็นเจ้าของสิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า ผู้ทำการผลิตสินค้า ฉลากสินค้า การบรรจุภัณฑ์ การบรรจุภัณฑ์ใหม่ ผู้จัดจำหน่าย และผู้ขาย รวมตลอดจนถึงการโอนสิทธิให้ผลิตแก่บุคคลอื่น การทำตลาด การโฆษณายาปลอมตามฟ้องนั้นด้วย

 

แต่เมื่อพิจารณาจากพยานหลักฐานต่าง ๆ ยาปลอมตามฟ้องนั้นได้ถูกลักลอบผลิตจากต่างประเทศ และถูกนำเข้าสู่ประเทศสหรัฐผ่านทางตัวแทนจำหน่ายหลายทอด โดยจำเลยผู้ผลิตมิได้เป็นผู้ผลิตยาปลอมตามฟ้องนั้นขึ้นมาเอง หรือมีส่วนร่วมรู้เห็นในแผนการร้ายนี้เลย ซึ่งหากกระทำไปเช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อผลกำไร และสร้างผลเสียแก่สิทธิบัตรกับเครื่องหมายการค้าของตนมากกว่า    

 

ประเด็นเรื่องการประกาศโฆษณาของจำเลยผู้ผลิตที่กล่าวหาว่า ทำให้โจทก์ผู้เสียหายหลงเชื่อไปซื้อยายี่ห้อนั้นมารับประทาน และเป็นสาเหตุใกล้ชิดก่อให้เกิดการบาดเจ็บทางร่างกายและจิตใจของโจทก์ผู้เสียหายนั้น ศาลเห็นว่า แท้ที่จริงเป็นการประกาศโฆษณาผลิตภัณฑ์ยา (ที่ถูกต้อง) ของจำเลยผู้ผลิต

 

โจทก์ผู้เสียหายไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้งว่า จำเลยผู้ผลิตมีเจตนาฉ้อฉล หลอกลวงจนก่อให้เกิดการบาดเจ็บทางร่างกายและจิตใจดังว่านั้นได้เช่นไร?

 

ส่วนประเด็นว่า จำเลยผู้ผลิตประมาทเลินเล่อด้วยการไม่ใช้มาตรการระมัดระวังตามสมควร เพื่อมิให้มียาปลอมตามฟ้องนั้นสามารถเข้าสู่ท้องตลาด และถึงตัวผู้บริโภคท้ายที่สุดนั้น โจทก์ผู้เสียหายก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้งอีกว่า จำเลยผู้ผลิตกระทำการ หรือละเว้นการกระทำอันสมควรตามหน้าที่ของตนอย่างไร?

 

โดยหลักกฎหมายทั่วไปแล้ว บุคคลใดก็ตามไม่มีหน้าที่ปกป้องผู้อื่นจากการกระทำผิดทางอาญาด้วยความจงใจต่อบุคคลอื่นใด (เว้นแต่บางกรณี)

 

เหมือนดั่งในคดีนี้ จำเลยผู้ผลิตไม่มีหน้าที่คาดหวัง และปกป้องการกระทำผิดของคนร้าย หรือกระทั่งติดป้ายเตือนผู้บริโภค เพราะถึงแม้กระทำได้เช่นนั้น ก็มิได้หมายความว่า ยาปลอมจะหมดสิ้นหายไปจากท้องตลาดได้จริง

 

ส่วนการควบคุมผู้รับโอนสิทธิผลิตต่อ หรือตัวแทนจำหน่ายอย่างเข้มงวดมากกว่านี้ โจทก์ผู้เสียหายก็มิได้หยิบยกกฎหมายใดมาแสดงต่อศาลให้เห็นได้ ศาลจึงเห็นว่า จำเลยผู้ผลิตไม่มีหน้าที่ถึงขนาดนั้น

 

เมื่อจำเลยผู้ผลิต ตัวแทนจำหน่าย และร้านค้าได้รับทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้รีบดำเนินการเรียกยาคืนมาตรวจสอบ และแจ้งต่อผู้ซื้อไปนั้น ถือเป็นการกระทำโดยสมควรแล้ว

 

พิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยผู้ผลิต

 

2) ร้านยาขายปลีกจำต้องรับผิดตามฟ้องไหม?

 

โดยหลักกฎหมาย กรณีถ้าเภสัชกรประจำร้านยาเพียงจ่ายยาตามใบสั่งแพทย์จากบรรจุภัณฑ์ดั้งเดิมที่ได้รับมา และส่งมอบแก่ผู้บริโภคโดยมิได้มีการเปลี่ยนแปลง เภสัชกรนั้นก็ไม่จำต้องรับผิดถึงประสิทธิภาพของยาที่ถูกสั่งจ่ายไปนั้น

 

เมื่อจำเลยร้านยาเองก็มิได้รับรู้ และมีส่วนร่วมในการปลอมยาตามฟ้องนั้น จึงพ้นผิดเช่นเดียวกัน

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Ashworth v. Albers Medical, Inc., 395 F. Supp. 2d 395 - Dist. Court, SD West Virginia 2005 และ Ashworth v. Albers Medical, Inc., 410 F. Supp. 2d 471 - Dist. Court, SD West Virginia 2005)

 

หมายเหตุ

 

น่าจะสมเหตุผลนะครับ

 

เทียบเคียงกับตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกานี้น่าจะพอได้เช่นกัน

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4829/2558

 

พ.ร.บ. ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. 2551 มาตรา 4 บัญญัติว่า สินค้าไม่ปลอดภัย หมายความว่า สินค้าที่ก่อ หรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุจากความบกพร่องในการผลิต หรือการออกแบบ หรือไม่ได้กำหนดวิธีใช้ วิธีเก็บรักษา คำเตือน หรือข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า หรือกำหนดไว้ แต่ไม่ถูกต้อง หรือไม่ชัดเจนตามสมควร ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงสภาพของสินค้า รวมทั้งลักษณะการใช้งาน และการเก็บรักษาตามปกติธรรมดาของสินค้าอันพึงคาดหมายได้ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ข้าวสารหอมมะลิบรรจุถุงของจำเลยที่โจทก์ผู้บริโภคซื้อมาจากร้านค้ามีเชื้อราปนเปื้อน จำเลยในฐานะผู้ประกอบธุรกิจ หรือผู้ประกอบการจึงมีภาระการพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการผลิต หรือส่วนผสมของสินค้า หรือการดำเนินการใด ๆ ซึ่งอยู่ในความรู้เห็นเฉพาะของจำเลยตาม พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 29 เมื่อพยานบุคคลฝ่ายจำเลยเบิกความประกอบพยานเอกสารแสดงให้เห็นถึงขั้นตอน และวิธีการผลิตข้าวสารบรรจุถุงของจำเลย จนกระทั่งขนส่งให้แก่ลูกค้า จำเลยมีการตรวจสอบคุณภาพอยู่ตลอดเวลา โดยดำเนินการจัดทำระบบตามหลักการผลิตที่ดี เพื่อเป็นหลักในการประกันคุณภาพด้านความปลอดภัยของอาหาร และระบบควบคุมอันตรายไม่ให้ไปสู่ผู้บริโภค เพื่อเป็นหลักประกันในการควบคุมการผลิต โดยโรงงานบรรจุข้าวถุงของจำเลยเป็นแห่งแรกในประเทศไทย ที่ผ่านการรับรองทั้งสองระบบ ระบบคุณภาพและมาตรฐานต่าง ๆ ได้รับการประเมินตรวจสอบและได้ใบรับรองจากหน่วยงานของรัฐและเอกชนว่า ผลิตภัณฑ์สินค้าตรามาบุญครองของจำเลย มีความสะอาด และถูกสุขอนามัย โดยใส่ใจในเรื่องความปลอดภัย เพื่อตอบสนองความพึงพอใจให้แก่ผู้บริโภค ทั้งข้อเท็จจริงยังได้ความอีกว่า ข้าวสารบรรจุถุงที่ผลิตในวันเดียวกันกับข้าวสารบรรจุถุงปัญหาที่โจทก์ซื้อไป ไม่ปรากฏว่า มีข้าวสารบรรจุถุงที่มีเชื้อราปนเปื้อนอีก แสดงว่าเชื้อราที่ปนเปื้อนไม่ได้เกิดขึ้นในขั้นตอนการผลิต หรือส่วนผสมของสินค้า หรือการขนส่งของจำเลย

 

(สืบค้นมาจาก http://deka.supremecourt.or.th/search ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง)

 

บริการ

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com ต่างกัน

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/