เรื่องที่ 175 : เจอเคลมแบบนี้
บริษัทประกันภัยก็หัวเราะไม่ออก? : เมื่อคนขับรถแท็กซี่ข่มขืนผู้โดยสาร
(ตอนที่ห้า)
ไม่พบเจอคำพิพากษาศาลฎีกาของไทยที่ตัดสินคดีแพ่งลักษณะนี้โดยตรง
ถึงแม้มีข่าวทำนองนี้เกิดขึ้นในบ้านเราด้วยเหมือนกัน
คงพบที่ใกล้เคียงในคดีอาญาโทษความผิดฐานกระทำผิดอนาจาร
และพรากผู้เยาว์ ดังนี้
จำเลยขับรถแท็กซี่พาผู้เสียหายไปถึงปากทางเข้าหมู่บ้านการเคหะบางพลี
ผู้เสียหายบอกจำเลยให้ขับรถไปส่งในหมู่บ้าน แต่จำเลยกลับขับรถเลยไปโดยพูดกับผู้เสียหายว่า
ขอควงผู้เสียหายไปเที่ยวบางแสน เมื่อจำเลยขับรถไปถึงบริเวณหน้าวัดหอมศีล จำเลยเลี้ยวรถกลับมุ่งไปทางกรุงเทพมหานคร
และไปจอดอยู่ริมทางหน้าวัดหอมศีล ซึ่งอยู่เลยทางเข้าหมู่บ้านการเคหะบางพลีประมาณ 10 กิโลเมตร ระหว่างนั้นจำเลยได้ดึงตัวผู้เสียหายไปจูบแก้มรวม
3 ครั้ง และพูดขอให้ผู้เสียหายยอมเป็นภริยา การกระทำของจำเลยที่ไม่ยอมเลี้ยวรถเข้าไปส่งผู้เสียหายที่หมู่บ้านการเคหะบางพลี
และขับรถเลยไปเพื่อจะกระทำอนาจารผู้เสียหาย เป็นการพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี
แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากผู้ดูแล โดยผู้เสียหายไม่เต็มใจไปด้วย จึงเป็นความผิดสำเร็จตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 318 วรรคสามแล้ว
หลังจากนั้นจำเลยได้พาผู้เสียหายไปไกลอีกถึง 10 กิโลเมตร
จำเลยจึงได้กระทำอนาจารผู้เสียหาย ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 278 อีก การกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการกระทำต่างกรรมกับความผิด
ตามมาตรา 318 วรรคสาม
(คำพิพากษาศาลฎีกาที่
3767/2541)
ด้านกรณีทางคดีแพ่ง
ขอหยิบยกตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ใกล้เคียงมาปรับใช้เทียบเคียง โดยขอจำแนกออกเป็นประเด็นต่าง
ๆ ได้แก่
1) ความรับผิดของผู้ขับขี่รถแท็กซี่ต่อผู้โดยสาร
ผู้ขับขี่รถแท็กซี่ต้องรับผิดในเหตุกระทำละเมิดแก่ผู้โดยสารของตน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7109/2557
ป.พ.พ. มาตรา 887
วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้น คือ สัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย
เพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ
เมื่อเหตุวินาศภัยได้เกิดขึ้นแก่ อ. ผู้ตาย (ผู้โดยสารรถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย)
จากการขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 (ผู้ขับขี่รถคู่กรณี)
และที่ 2 (ผู้ขับขี่รถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย) ซึ่งจำเลยที่
5 ผู้ครอบครอง และเป็นผู้เอาประกันภัยรถแท็กซี่ที่จำเลยที่ 2
(ผู้ขับขี่รถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย) ขับไว้กับจำเลยที่ 4
(บริษัทประกันภัยรถแท็กซี่) จะต้องรับผิดชอบด้วย แต่เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์
สำหรับจำเลยที่ 5 (ผู้ครอบครองผู้เอาประกันภัยรถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย)
เพราะฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 5 (ผู้ครอบครองผู้เอาประกันภัยรถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย)
ขาดอายุความ มิใช่ยกฟ้อง เพราะจำเลยที่ 5 (ผู้ครอบครองผู้เอาประกันภัยรถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย)
ไม่ต้องรับผิดชอบในเหตุรถเฉี่ยวชนกัน จำเลยที่ 4 (บริษัทประกันภัยรถแท็กซี่)
จึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาประกันภัย
2) ผู้โดยสารผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องบริษัทประกันภัยรถแท็กซี่ได้โดยตรงหรือไม่?
สามารถกระทำได้ ดังคำพิพากษาศาลฎีกาที่
500/2557
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1
(เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย) เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และผู้ครอบครองรถบรรทุกคันเกิดเหตุที่ได้เอาประกันภัยค้ำจุนไว้กับจำเลยที่
2 (บริษัทประกันภัย) ผู้รับประกันภัย โดยวันเกิดเหตุ ลูกจ้างของจำเลยที่
1 (เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย)
ขับรถของจำเลยที่ 1 (เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย)
ไปส่งสินค้าให้แก่โจทก์ ย่อมถือได้ว่าลูกจ้างของจำเลยที่ 1 (เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย) ขับรถของจำเลยที่
1 (เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย)
ซึ่งจำเลยที่ 2 (บริษัทประกันภัย) รับประกันภัยโดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่
1 (เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย)
ผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท
1 เมื่อลูกจ้างของจำเลยที่ 1 (เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย)
ขับรถคันที่จำเลยที่ 2 (บริษัทประกันภัย) รับประกันภัยถอยหลังชนซุ้มเสาประตูโรมันค้ำยัน
และรองรับระเบียงหน้าบ้านของโจทก์แตกหักเสียหาย โจทก์ซึ่งเป็นผู้ต้องเสียหายจึงชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนตามที่ตนควรจะได้นั้นจากจำเลยที่
2 (บริษัทประกันภัย) ผู้รับประกันภัยโดยตรงตาม ป.พ.พ. มาตรา 887
วรรคสอง ซึ่งโจทก์สามารถฟ้องจำเลยที่ 2 (บริษัทประกันภัย)
ให้รับผิดได้โดยลำพัง เพียงแต่หากโจทก์ผู้ต้องเสียหายไม่ได้ฟ้อง หรือเรียกตัวผู้เอาประกันภัยเข้ามาสู้คดีด้วย
จะมีผลเพียงทำให้ผู้ต้องเสียหายไม่อาจเรียกค่าสินไหมทดแทนส่วนที่ยังขาดจากผู้เอาประกันภัยได้เท่านั้น
หาได้มีผลถึงกับทำให้ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดต่อผู้ต้องเสียหาย และทำให้ผู้รับประกันภัยหลุดพ้นความรับผิดไปด้วยไม่
คดีนี้ การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 (เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย)
ผู้เอาประกันภัยรวมมากับจำเลยที่ 2 (บริษัทประกันภัย)
ผู้รับประกันภัย โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 (เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย)
เป็นผู้ขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุ แต่ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 1
(เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย) มิได้เป็นผู้ขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุเอง ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 (เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย) เป็นผู้ขับ
จำเลยที่ 1 (เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย)
จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เนื่องจากไม่ได้เป็นไปตามคำฟ้องของโจทก์นั้น
หาทำให้มูลหนี้อันเกิดจากการกระทำละเมิดของลูกจ้างของจำเลยที่ 1 (เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย) ที่มีต่อโจทก์ระงับสิ้นไปไม่
ความรับผิดของจำเลยที่ 1 (เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย)
ในฐานะนายจ้างที่ลูกจ้างได้กระทำละเมิด ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1
(เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย) ที่มีต่อโจทก์ตามกฎหมายก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 (เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย) ผิดไป
มีผลทำให้จำเลยที่ 1 (เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย)
ไม่ต้องรับผิดตามฟ้องเท่านั้น ดังนั้น เมื่อความรับผิดของจำเลยที่ 1
(เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย) ผู้เอาประกันภัยยังคงมีอยู่ในขณะที่ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 (เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย) กระทำละเมิดต่อโจทก์
และขณะนั้น จำเลยที่ 2 (บริษัทประกันภัย) ผู้รับประกันภัยซึ่งมีความรับผิดตามตารางกรมธรรม์ประกันภัยอยู่ก่อนแล้ว
จำเลยที่ 2 จึงหาหลุดพ้นความรับผิดไปด้วยไม่ จำเลยที่ 2
(บริษัทประกันภัย) ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนยังคงต้องผูกพันรับผิดต่อโจทก์
ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหาย กรณีหาใช่เรื่องมูลความแห่งคดีที่การชำระหนี้มิอาจแบ่งแยกกันได้
เมื่อจำเลยที่ 1 (เจ้าของผู้เอาประกันภัยรถบรรทุกคันที่เอาประกันภัย)
ผู้เอาประกันภัยหลุดพ้นความรับผิด อันจะเป็นผลให้จำเลยที่ 2 (บริษัทประกันภัย) ผู้รับประกันภัยต้องหลุดพ้นไปจากความรับผิดแต่อย่างใดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3254/2556
โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุน โจทก์ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย
เพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอก ซึ่งผู้เอาประกันจะต้องรับผิดชอบ บุคคลภายนอกมีสิทธิเรียกร้องจากผู้รับประกันภัยได้โดยตรงตาม
ป.พ.พ. มาตรา 887 เมื่อจำเลยผู้เอาประกันภัยทำละเมิด
และต้องรับผิดชอบต่อ ว. ท. และ จ. บุคคลภายนอก โจทก์ย่อมมีหน้าที่ที่จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่
ว. ท. และ จ. ตามบทบัญญัติในมาตราดังกล่าว โจทก์ไม่อาจนำข้อยกเว้นความรับผิด เนื่องจากขณะขับขี่
จำเลยมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไม่น้อยกว่า 150 (ปัจจุบันแก้ไขเป็นเกินกว่า
50) มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท
1 ข้อ 7.6 ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ใช้บังคับระหว่างโจทก์ผู้รับประกันภัยกับจำเลยผู้เอาประกันภัย
ไปใช้เป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกตามบทบัญญัติในมาตราดังกล่าวได้ โจทก์ยังต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก
เพียงแต่เมื่อโจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกไปแล้ว จำเลยต้องใช้เงินที่โจทก์ใช้ไปนั้นคืนโจทก์
3) ผู้ขับขี่รถแท็กซี่กระทำผิดอยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจหรือเปล่า?
ขอบเขตความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
หรือตัวการกับตัวแทนโดยทั่วไป อาจถูกกำหนดไว้ค่อนข้างจำกัด แค่เพียงให้ทำตามคำสั่งของนายจ้าง
หรือตามแต่ตัวการจะได้มอบหมายมาเท่านั้น แต่สำหรับกรณีของผู้ประกอบการขนส่ง
ภายใต้กฎหมายเฉพาะแล้ว จะมีภาระหน้าที่ความรับผิดชอบระหว่างผู้ให้บริการกับผู้รับการขนส่งมากกว่านั้นเยอะ
โดยเฉพาะกรณีที่มีค่าต่างตอบแทน
นึกง่าย ๆ เรามักได้ยินสุภาษิตสากลที่ว่า
“ลูกค้า คือ พระเจ้า” แต่ไม่น่าเชื่อจะมีผู้ใดบอกกล่าว “ลูกจ้าง คือ พระเจ้า”
บ้างเลย จริงไหมครับ?
สองตัวอย่างคดีศึกษาที่หยิบยกมาเทียบเคียง
เชื่อว่า จะเห็นภาพเปรียบเทียบได้ชัดเจนขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3750/2545
คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
แม้ว่าในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตาม
ป.วิ.อ. มาตรา 46 ก็ตาม
แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 2 (นายจ้าง) ที่
3 (นายจ้างผู้เอาประกันภัย) และที่ 4 (บริษัทประกันภัย)
ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าว ดังนั้น ข้อเท็จจริงในคำพิพากษาของศาลคดีส่วนอาญาที่ฟังว่า
จำเลยที่ 1 (ลูกจ้างผู้ขับขี่รถคันที่เอาประกันภัย) ขับรถบรรทุกโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
และได้รับอันตรายสาหัส มีผลผูกพันเฉพาะจำเลยที่ 1 (ลูกจ้างผู้ขับขี่รถคันที่เอาประกันภัย)
ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้น ไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 (นายจ้าง) ที่
3 (นายจ้างผู้เอาประกันภัย) และที่ 4 (บริษัทประกันภัย)
ซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวด้วย จึงเป็นกรณีที่ต้องฟังข้อเท็จจริงกันใหม่
การที่จำเลยที่ 1
(ลูกจ้างผู้ขับขี่รถคันที่เอาประกันภัย) ลูกจ้างของจำเลยที่ 2
(นายจ้าง) และที่ 3 (นายจ้างผู้เอาประกันภัย)
ขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุไปบรรทุกผักและผลไม้ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 (นายจ้าง) และที่ 3 (นายจ้างผู้เอาประกันภัย) ได้แวะรับประทานอาหารและดื่มสุรา
จนถูกทำร้ายร่างกายด้วยความโกรธแค้น เพราะเหตุส่วนตัวที่ถูกทำร้ายดังกล่าว
จำเลยที่ 1 (ลูกจ้างผู้ขับขี่รถคันที่เอาประกันภัย) จึงขับรถบรรทุกพุ่งชนโจทก์ที่
5 และผู้ตายกับพวกที่ทำร้ายตน จนเป็นเหตุให้มีคนตายและบาดเจ็บ
เช่นนี้ เป็นเหตุส่วนตัวที่เกิดขึ้นต่างหาก ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการในทางการที่จ้าง
หรือกรอบแห่งการจ้างของจำเลยที่ 2 (นายจ้าง) และที่ 3 (นายจ้างผู้เอาประกันภัย) นายจ้างที่มอบหมายให้จำเลยที่
1 (ลูกจ้างผู้ขับขี่รถคันที่เอาประกันภัย) ลูกจ้างไปกระทำ
จำเลยที่ 2 (นายจ้าง) และที่ 3 (นายจ้างผู้เอาประกันภัย) จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 (ลูกจ้างผู้ขับขี่รถคันที่เอาประกันภัย) ในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1
(ลูกจ้างผู้ขับขี่รถคันที่เอาประกันภัย) ก่อให้เกิดขึ้นต่อโจทก์ทั้งห้า
ส่วนจำเลยที่ 4 (บริษัทประกันภัย) ผู้รับประกันภัยรถบรรทุกคันเกิดเหตุไว้จากจำเลยที่
3 (นายจ้างผู้เอาประกันภัย) ตามข้อตกลงในกรมธรรม์ประกันภัย
ซึ่งจำเลยที่ 4 (บริษัทประกันภัย) ตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของจำเลยที่
3 (นายจ้างผู้เอาประกันภัย) ผู้เอาประกันภัย เพื่อความวินาศภัยอันเกิดแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง
และซึ่งจำเลยที่ 3 ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบตาม
ป.พ.พ.มาตรา 887 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยที่ 3 (นายจ้างผู้เอาประกันภัย) ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดชอบในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่
1 (ลูกจ้างผู้ขับขี่รถคันที่เอาประกันภัย) ที่กระทำต่อโจทก์ทั้งห้า
จำเลยที่ 4 (บริษัทประกันภัย) ผู้รับประกันภัยค้ำจุน จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งห้าด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 355/2563
จำเลยที่ 2
(ผู้ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย) ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่
มีรถแท็กซี่ให้เช่ามากถึง 60 คัน จำเลยที่ 2 (ผู้ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย) จึงเป็นผู้ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่รายใหญ่
จำเลยที่ 2 (ผู้ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย)
เช่าซื้อรถแท็กซี่คันเกิดเหตุจากโจทก์ ซึ่งจดทะเบียนประเภทรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน
7 คน อันเป็นรถยนต์สาธารณะตาม พ.ร.บ. รถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ซึ่งอยู่ในความควบคุมของนายทะเบียน และผู้ตรวจการขนส่งทางบก
โดยมีชื่อและตราสัญลักษณ์ของโจทก์ติดอยู่ที่ประตูรถด้านหน้าทั้งสองข้าง แล้วจำเลยที่
2 (ผู้ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย) นำรถแท็กซี่ไปให้จำเลยที่
1 (ผู้ขับขี่รถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย) เช่าขับรับส่งคนโดยสารในนามของโจทก์
เพื่อประโยชน์แก่กิจการของตน ถือว่าจำเลยที่ 2 (ผู้ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย)
เป็นผู้ประกอบกิจการรับจ้างขนส่งคนโดยสารต้องอยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติดังกล่าวเช่นเดียวกับโจทก์
แม้คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18871/2557 ที่วินิจฉัยว่า โจทก์ และจำเลยที่
2 (ผู้ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย) มีผลประโยชน์ร่วมกันในการประกอบกิจการขนส่งคนโดยสารรถแท็กซี่คันเกิดเหตุ
ไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 (ผู้ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย)
เพราะจำเลยที่ 2 (ผู้ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย)
ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวก็ตาม แต่ในสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 4 ระบุว่า ผู้เช่าซื้อจะไม่นำทรัพย์สินที่เช่าซื้อไปให้เช่า จำเลยที่ 2
(ผู้ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย) ย่อมต้องทราบดีว่า
จำเลยที่ 2 (ผู้ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย)
ไม่สามารถนำรถที่ตนเช่าซื้อจากโจทก์ให้ผู้อื่น หรือจำเลยที่ 1 (ผู้ขับขี่รถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย) เช่าได้ การที่จำเลยที่ 2 (ผู้ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย) เช่าซื้อรถแท็กซี่ของโจทก์
เพื่อนำออกให้เช่าโดยที่โจทก์ได้จดทะเบียนรถแท็กซี่เป็นรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารตามกฎหมายแล้ว
ทั้งจำเลยที่ 2 (ผู้ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย)
ใช้ชื่อ และตราสัญลักษณ์ของโจทก์ที่ติดอยู่ด้านข้างรถแท็กซี่นำไปให้จำเลยที่
1 (ผู้ขับขี่รถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย) เช่าขับรถส่งคนโดยสาร เพื่อประโยชน์แก่กิจการของตน
ส่วนโจทก์ก็ได้รับประโยชน์จากการเป็นผู้ประกอบกิจการขนส่งคนโดยสารด้วย เพราะโจทก์สามารถให้เช่าซื้อรถยนต์ได้มากขึ้น
พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ และจำเลยที่ 2 (ผู้ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย)
มีผลประโยชน์ร่วมกันในการประกอบกิจการขนส่งคนโดยสาร โจทก์ และจำเลยที่ 2 มิได้ผูกนิติสัมพันธ์กันแต่เฉพาะนิติกรรมการเช่าซื้อเท่านั้น
เมื่อจำเลยที่ 2 (ผู้ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย)
นำรถแท็กซี่คันเกิดเหตุไปให้จำเลยที่ 1 (ผู้ขับขี่รถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย)
เช่าขับรับคนโดยสาร จึงถือได้ว่า จำเลยที่ 2 (ผู้ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย)
เป็นตัวการร่วมกับโจทก์เชิดให้จำเลยที่ 1 (ผู้ขับขี่รถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย)
เป็นตัวแทนของตน ในการประกอบกิจการรับขนคนโดยสารด้วย จำเลยที่ 2 (ผู้ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย) กับโจทก์จึงต้องร่วมกันรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่
1 (ผู้ขับขี่รถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย) ในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมกัน
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 821 มาตรา 427 ประกอบมาตรา
425
4) ใครคือผู้เอาประกันภัยซึ่งจะต้องรับผิดกันแน่?
ผู้ขับขี่รถคันที่เอาประกันภัยซึ่งได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัย
จะได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์เสมือนหนึ่งผู้เอาประกันภัย
ในสถานะทางกฎหมายอาจเป็นลูกจ้าง หรือตัวแทนของผู้เอาประกันภัยนั้นก็ได้
โดยหลักกฎหมายทั่วไป
การตีความของถ้อยคำที่เป็นความคุ้มครองควรแปลความอย่างกว้าง
ขณะที่ข้อยกเว้นนั้นควรแปลความอย่างแคบ
เทียบเคียงคดีรถแท็กซี่ดังกล่าวมาแล้ว
ผู้เอาประกันภัย คือ
เจ้าของรถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย
ผู้ขับขี่รถแท็กซี่คันที่เอาประกันภัย
คือ ผู้ได้รับความคุ้มครอง แต่มิใช่เป็นผู้เอาประกันภัยตัวจริง เนื่องด้วยในคำจำกัดความเฉพาะของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
เพียงหมายถึง บุคคลผู้ระบุชื่อเป็นผู้เอาประกันภัยในตาราง (กรมธรรม์ประกันภัย) ซึ่งจะมีสิทธิหน้าที่เต็มที่อย่างสมบูรณ์ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับดังกล่าวเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 736/2525
ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 879
บัญญัติว่า ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิด ในเมื่อความวินาศภัย หรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้น
เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัย หรือผู้รับประโยชน์นั้น เป็นบทบัญญัติที่ยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัย
จึงต้องตีความโดยเคร่งครัดว่า หมายถึงความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัย
หรือผู้รับประโยชน์เองเท่านั้น ไม่หมายรวมถึง ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของลูกจ้างผู้เอาประกันภัย
หรือผู้รับประโยชน์ด้วย
ข้อสรุป
ส่วนตัวเห็นว่า หากตัวอย่างคดีศึกษาต่างประเทศดังกล่าวได้มาเกิดขึ้นในบ้านเรา
จากแนวทางตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาต่าง ๆ ซึ่งได้หยิบยกมาเทียบเคียง ผู้เสียหายน่าจะได้รับความคุ้มครองตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนนะครับ
อันที่จริง อ่านพบเจอตัวอย่างคดีศึกษาต่างประเทศของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
ภาคบังคับอีก ซึ่งมีการแปลความต่างออกไป ขอติดไว้คราหน้านะครับ มิฉะนั้นแล้ว
จะมิได้มีโอกาสกล่าวถึงประเภทการประกันภัยอื่นบ้างเลย
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
-
รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย
(อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com ต่างกัน
อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน
พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet
Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/