วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2564

เรื่องที่ 150 : ความเสียหายที่แท้จริงของสต็อกสินค้า

 

(ตอนที่สอง)

 

คดีศึกษาต่างประเทศ เป็นกรณีที่ผู้เอาประกันภัยได้เอาประกันภัยสต็อกสินค้าของตนเอาไว้ ภายใต้กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยกับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง

 

ต่อมาในช่วงระยะเวลาประกันภัย ได้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้สร้างความเสียหายแก่สต็อกสินค้านั้นทั้งหมด

 

คู่สัญญาประกันภัยทั้งสองฝ่ายไม่มีข้อโต้แย้งเรื่องภัยที่คุ้มครองกับทรัพย์สินที่ได้เอาประกันภัยไว้ แต่กลับมีข้อถกเถียงกันในเรื่องของจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนที่จะต้องชดใช้

 

เนื่องจากสต็อกสินค้าที่เสียหายนั้นเป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยปรากฏว่า ณ วันเวลาที่เกิดความเสียหาย ราคาของสต็อกสินค้าที่แหล่งต้นทางได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

 

สมมุติ คำนวณราคาต่อชิ้น

 

ณ วันทำประกันภัย

 

จำนวนเงินเอาประกันภัยของสต็อกสินค้านั้น กำหนดจากราคาต้นทุน (ราคาสินค้าต้นทาง บวกค่าขนส่งกับค่าภาษี) และบวกค่ากำไรขาย คือ

ชิ้นละ 10 บาท + 5 (ค่าขนส่งกับค่าภาษี) + 10 (กำไร) = 25 บาท/ชิ้น

 

ณ วันเกิดความเสียหาย

 

ราคาต้นทางเพิ่มสูงขึ้นเป็นชิ้นละ 15 บาท + 5 (ค่าขนส่งกับค่าภาษี) + 10 (กำไร) = 30 บาท/ชิ้น

 

ผู้เอาประกันภัยอ้างอิงถ้อยคำของกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งระบุ

 

บริษัท (ประกันภัย) จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริงในขณะเกิดความเสียหาย (the value of the property at the time of its loss or destruction) แก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย

 

นั่นเท่ากับ ชิ้นละ 30 บาท

 

บริษัทประกันภัยโต้แย้งจะชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริงซึ่งเกิดขึ้นแก่ผู้เอาประกันภัย ณ วันที่เกิดความเสียหายนั้นเอง

 

นั่นเท่ากับ ชิ้นละ 25 บาทเท่านั้น

 

งั้นในทางกลับกัน ถ้าผู้เอาประกันภัยจะต่อสู้ว่า สมมุติราคาสินค้าต้นทาง ณ วันเกิดความเสียหายได้ลดลงเหลือเพียงชิ้นละ 7 บาทล่ะ (+ 5 (ค่าขนส่งกับค่าภาษี) + 10 (กำไร) = 22 บาท/ชิ้น)

 

บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เท่าไหร่?

 

(ก) ชิ้นละ 25 บาท หรือ

(ข) ชิ้นละ 22 บาท

 

แล้วคำว่า “มูลค่าความเสียหายที่แท้จริงในขณะเกิดความเสียหาย” ของทั้งสองกรมธรรม์ประกันภัยข้างต้น แท้ที่จริงควรแปลความหมายอย่างไรกันแน่?

 

คุณมีความเห็นเช่นใดบ้างครับ?

 

เมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ ผู้เอาประกันภัยจึงได้นำคดีขึ้นสู่ศาล โดยต่อสู้กันจนถึงชั้นศาลอุทธรณ์ ซึ่งได้มีคำวินิจฉัยออกมา ดังนี้

 

ถ้ามีคำถามว่า ผู้เอาประกันภัยรายนี้ได้รับความเสียหายจริงเท่าไหร่กันแน่ในวันที่เกิดความเสียหายนั้น?

 

คำตอบ คือ ได้รับความเสียหายจริงไปชิ้นละ 25 บาท ตามราคาขายที่ควรจะได้รับ หากมิได้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ขึ้นมาเสียก่อน

 

ส่วนในระหว่างนั้น ราคาต้นทางของสต็อกสินค้านั้นจะเปลี่ยนแปลงสูงขึ้น หรือลดลงไป ก็มิใช่ปัจจัยที่จะส่งผลก่อให้เกิดผลกระทบต่อค่าสินไหมทดแทนที่ควรจะได้รับตามจริงแต่ประการใด

 

เพราะถ้ามิได้เกิดไฟไหม้ขึ้นมาเลย ผู้เอาประกันภัยยังคงขายสินค้านั้นในราคาเดิมอยู่ดี เว้นแต่จะได้มีการปรับเปลี่ยนราคาขายใหม่ตามสภาวะตลาด พร้อมทั้งได้แจ้งต่อบริษัทประกันภัยไปตามนั้น ครั้นถึงเวลาที่มีความเสียหายเกิดขึ้น บริษัทประกันภัยก็จะได้ชดใช้ให้สอดคล้องตามไปด้วยเช่นกัน

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงจากคดี Saunders and Co. Ltd v Phoenix Assurance Co. Ltd. [1953] NZLR 598)

 

มีข้อถกเถียงประเด็นปัญหานี้ในต่างประเทศมากมาย โดยเฉพาะเรื่องค่าซ่อมแซมที่แพงขึ้น เพราะค่าวัสดุ หรือค่าวัตถุดิบได้มีราคาเพิ่มสูงขึ้นช่วงสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งการซื้อขายสินค้าต่าง ๆ ลดลงไป ส่งผลทำให้ผู้ผลิตจำต้องลดกำลังการผลิต หรือกระทั่งเลิกกิจการไปเลยก็มี

 

การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในเรื่องค่าซ่อมแซมจะจ่ายตามจริง ณ วันเวลา และสถานที่เกิดความเสียหายด้วยหรือไม่?

 

เนื่องจากเป็นการซ่อมแซมให้กลับคืนสู่สภาพเดิม แต่ไม่ดีกว่าเดิม ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น แต่ต้นทุนค่าซ่อมกลับเพิ่มสูงขึ้นไปตามสภาวะเศรษฐกิจดังกล่าว

เป็นประเด็นปัญหาแก่การประกันภัยทุกประเภท โดยเฉพาะผู้ทำเคลมประกันภัยรถยนต์น่าจะรู้ดี

บริการ

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น