วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2564

เรื่องที่ 151 : ความหมายที่แท้จริงของสต็อกสินค้า

 

เมื่อพูดถึงเรื่องสต็อกแล้ว ก็อดใจไม่พูดถึงความหมายของสต็อกได้ เพราะก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทขึ้นโรงขึ้นศาลมาแล้ว จึงขอนำมากล่าวถึงให้ครบถ้วน

 

จนบัดนี้ส่วนตัวยังค่อนข้างสับสนกับการเขียนคำว่า Stock เป็นภาษาไทยที่ถูกต้อง แม้ศัพท์บัญญัติราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายเป็นภาษาไทยออกมา แปลว่า

 

หุ้น, สินค้าคงคลัง, มูลภัณฑ์ [นิติศาสตร์ 11 มี.ค. 2545]

 

แต่ขณะที่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 กลับไปเอ่ยถึงความหมายของ

 

ล้างสต๊อก คือ ลดราคาสินค้าเพื่อจำหน่ายให้หมด

 

ทำให้เข้าใจได้ว่า การเขียน “สต๊อก” น่าจะเป็นการเขียนทับศัพท์ภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง แต่ก็มีบางแหล่งข้อมูลอ้างว่า ควรใช้ “สต็อก” แทน

 

ด้วยความคุ้นชิน ส่วนตัวจึงขอเลือกใช้คำหลังมากกว่า

 

โอเคครับ เราคงไม่มาถกกันประเด็นนี้ แต่จะขอกล่าวถึงประเด็นสต็อกที่เป็นประเด็นข้อพิพาทในแง่การประกันภัย

 

มีโรงงานแห่งหนึ่งได้แจ้งทำประกันภัยคุ้มครองตัวอาคาร เครื่องจักร และสต็อกสินค้าเอาไว้ ภายใต้กรมธรรม์ประกันอัคคีภัย

 

ต่อมาเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้สร้างความเสียหายแก่สต็อกทั้งหมดที่มีอยู่ของผู้เอาประกันภัยรายนี้

 

เมื่อผู้ประเมินวินาศภัยของบริษัทประกันภัยเข้าไปตรวจสอบรายการความเสียหายของสต็อกทั้งหมดแล้ว พบว่า ภายใต้ทุนประกันภัยของสต็อกสินค้าที่เอาประกันภัยจำนวนทั้งสิ้น 20,000,000 บาทนั้น ประกอบด้วย

 

(1) รายการวัตถุดิบมูลค่ารวม             =  15,000,000 บาท

(2) รายการสินค้าสำเร็จรูปมูลค่ารวม    =    5,000,000 บาท

 

ทั้งหมดล้วนถูกไฟไหม้เสียหาย อย่างไรก็ตาม บริษัทประกันภัยยินยอมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เพียงรายการที่สอง 5,000,000 บาทเท่านั้น โดยอ้างว่า คำว่า “สต็อกสินค้า” ที่ระบุเอาประกันภัยไว้นั้น มิได้หมายความรวมถึงวัตถุดิบ (รอผลิต) ด้วย

 

คุณคิดอย่างไรครับ?

 

ผู้เอาประกันภัยรายนี้ไม่ยอมครับ เพราะอุตส่าห์เสียเบี้ยประกันภัยซื้อความคุ้มครองตั้งยี่สิบล้านบาท และได้รับความเสียหายจริงตามนั้น แต่ตนเองกลับจะได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพียงแค่ห้าล้านบาทเท่านั้น จึงได้นำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อร้องขอความเป็นธรรม และได้มีการต่อสู้คดีจนถึงชั้นศาลฎีกา

 

ถ้าอยู่ในห้องอบรม ผมมักจะตั้งคำถามว่า คุณคิดว่า ฝ่ายใดจะชนะคดี?

 

หากใครเลือกฝ่ายผู้เอาประกันภัย คงต้องขอแสดงความเสียใจด้วยครับ เพราะศาลฎีกาพิจารณาว่า

 

สินค้ากับวัตถุดิบมีความหมายไม่เหมือนกัน

 

เมื่อผู้เอาประกันภัยระบุรายการทรัพย์สินที่เอาประกันภัย คือ สต็อกสินค้า

 

จึงไม่ถือว่า ได้เอาประกันภัยรวมถึงวัตถุดิบด้วย

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 330/2519)

 

เมื่อเปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 พบว่า

 

สินค้า คือ สิ่งของที่ซื้อขายกัน เช่น ร้านนี้มีสินค้านานาชนิด

 

วัตถุดิบ คือ สิ่งที่เตรียมไว้เพื่อผลิตหรือประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูป

 

โดยสรุป วัตถุดิบอาจมีความหมายเป็นวัตถุดิบเพื่อรอผลิตก็ได้ หรืออาจหมายถึงวัตถุดิบที่ขายเป็นสินค้าออกไปก็ได้

 

หากกรณีตามคดีศึกษาข้างต้น วัตถุดิบที่พิพาทจัดอยู่ในความหมายอย่างหลัง คดีนั้นคงจบลงด้วยดี แต่ข้อความจริงไม่ใช่ เพราะไปตกอยู่ในความหมายแรกเสียนี่

 

ฉะนั้น โปรดพึงระมัดระวังอย่างมากในการเลือกใช้ถ้อยคำในกรมธรรม์ประกันภัย มิฉะนั้น อาจเจอปัญหาปวดหัวเหมือนดั่งคดีศึกษาข้างต้นได้ หรือตัวอย่างคดีศึกษา ดังนี้

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 322/2537

โจทก์เอาประกันภัยสต๊อกสินค้ารองเท้าทุกชนิดในร้านค้าของโจทก์ไว้กับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 200,000 บาท จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 เบิกความรับว่า จำเลยที่ 1 รับประกันภัยเฉพาะรองเท้าและสินค้าที่อยู่ในร้านโจทก์ ดังนั้น สต๊อกสินค้ารองเท้าทุกชนิด ซึ่งเป็นวัตถุที่เอาประกันภัยไว้จึงมีความหมายรวมถึงรองเท้าและเครื่องหนังทุกชนิด ที่โจทก์มีไว้ในร้านเพื่อขาย มิใช่กรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองแต่รองเท้าอย่างเดียว เมื่อสินค้าในร้านของโจทก์ได้ถูกเพลิงไหม้เสียหายโดยสิ้นเชิง และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 877 ได้สันนิษฐานเป็นคุณแก่โจทก์ไว้ก่อนว่า โจทก์มีสิทธิจะเรียกให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้เต็มจำนวนที่เอาประกันภัยไว้ เว้นแต่จำเลยที่ 1 จะพิสูจน์หักล้างได้ว่า ความเสียหายของสินค้านั้นต่ำกว่าจำนวนเงินที่ได้เอาประกันไว้ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงจำนวนสินค้าที่ถูกเพลิงไหม้อันแท้จริงได้ และน่าเชื่อว่าขณะเกิดเพลิงไหม้สินค้ารองเท้าและเครื่องหนังที่วางจำหน่ายอยู่ในร้านโจทก์ มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200,000 บาทจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัย

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3745-3747/2533

สต๊อกสินค้าที่โจทก์เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 1 เป็นสินค้าระหว่างผลิต ส่วนสต๊อกสินค้าที่โจทก์เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นสินค้าที่เก็บในโกดัง เป็นสต๊อกสินค้าต่างรายการกัน จึงมิใช่การเอาประกันภัยซ้ำซ้อน โจทก์ไม่จำต้องแจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบ ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย

 

ความเห็นส่วนตัวเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาข้อโต้แย้งดังกล่าว เวลาบรรยาย หรือเวลาให้คำปรึกษา ผมจะขอเสนอให้เลือกใช้คำว่า “สต็อก (Stock)” ลอย ๆ น่าจะปลอดภัยดีกว่า เนื่องจากแปลเป็นภาษาไทยออกมาเป็น “สินค้าคงคลัง” นั้น จะให้ความหมายค่อนข้างกว้าง อันหมายถึง วัตถุดิบ งานระหว่างกระบวนการผลิต วัสดุซ่อมบำรุง สินค้าสำเร็จรูป ฯลฯ (กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม https://bsc.dip.go.th/th/category/sale-marketing/sm-stockbalance)

ลองพิจารณาตัดสินใจดูนะครับ

บริการ

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul

 

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2564

เรื่องที่ 150 : ความเสียหายที่แท้จริงของสต็อกสินค้า

 

(ตอนที่สอง)

 

คดีศึกษาต่างประเทศ เป็นกรณีที่ผู้เอาประกันภัยได้เอาประกันภัยสต็อกสินค้าของตนเอาไว้ ภายใต้กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยกับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง

 

ต่อมาในช่วงระยะเวลาประกันภัย ได้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้สร้างความเสียหายแก่สต็อกสินค้านั้นทั้งหมด

 

คู่สัญญาประกันภัยทั้งสองฝ่ายไม่มีข้อโต้แย้งเรื่องภัยที่คุ้มครองกับทรัพย์สินที่ได้เอาประกันภัยไว้ แต่กลับมีข้อถกเถียงกันในเรื่องของจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนที่จะต้องชดใช้

 

เนื่องจากสต็อกสินค้าที่เสียหายนั้นเป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยปรากฏว่า ณ วันเวลาที่เกิดความเสียหาย ราคาของสต็อกสินค้าที่แหล่งต้นทางได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

 

สมมุติ คำนวณราคาต่อชิ้น

 

ณ วันทำประกันภัย

 

จำนวนเงินเอาประกันภัยของสต็อกสินค้านั้น กำหนดจากราคาต้นทุน (ราคาสินค้าต้นทาง บวกค่าขนส่งกับค่าภาษี) และบวกค่ากำไรขาย คือ

ชิ้นละ 10 บาท + 5 (ค่าขนส่งกับค่าภาษี) + 10 (กำไร) = 25 บาท/ชิ้น

 

ณ วันเกิดความเสียหาย

 

ราคาต้นทางเพิ่มสูงขึ้นเป็นชิ้นละ 15 บาท + 5 (ค่าขนส่งกับค่าภาษี) + 10 (กำไร) = 30 บาท/ชิ้น

 

ผู้เอาประกันภัยอ้างอิงถ้อยคำของกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งระบุ

 

บริษัท (ประกันภัย) จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริงในขณะเกิดความเสียหาย (the value of the property at the time of its loss or destruction) แก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย

 

นั่นเท่ากับ ชิ้นละ 30 บาท

 

บริษัทประกันภัยโต้แย้งจะชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริงซึ่งเกิดขึ้นแก่ผู้เอาประกันภัย ณ วันที่เกิดความเสียหายนั้นเอง

 

นั่นเท่ากับ ชิ้นละ 25 บาทเท่านั้น

 

งั้นในทางกลับกัน ถ้าผู้เอาประกันภัยจะต่อสู้ว่า สมมุติราคาสินค้าต้นทาง ณ วันเกิดความเสียหายได้ลดลงเหลือเพียงชิ้นละ 7 บาทล่ะ (+ 5 (ค่าขนส่งกับค่าภาษี) + 10 (กำไร) = 22 บาท/ชิ้น)

 

บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เท่าไหร่?

 

(ก) ชิ้นละ 25 บาท หรือ

(ข) ชิ้นละ 22 บาท

 

แล้วคำว่า “มูลค่าความเสียหายที่แท้จริงในขณะเกิดความเสียหาย” ของทั้งสองกรมธรรม์ประกันภัยข้างต้น แท้ที่จริงควรแปลความหมายอย่างไรกันแน่?

 

คุณมีความเห็นเช่นใดบ้างครับ?

 

เมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ ผู้เอาประกันภัยจึงได้นำคดีขึ้นสู่ศาล โดยต่อสู้กันจนถึงชั้นศาลอุทธรณ์ ซึ่งได้มีคำวินิจฉัยออกมา ดังนี้

 

ถ้ามีคำถามว่า ผู้เอาประกันภัยรายนี้ได้รับความเสียหายจริงเท่าไหร่กันแน่ในวันที่เกิดความเสียหายนั้น?

 

คำตอบ คือ ได้รับความเสียหายจริงไปชิ้นละ 25 บาท ตามราคาขายที่ควรจะได้รับ หากมิได้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ขึ้นมาเสียก่อน

 

ส่วนในระหว่างนั้น ราคาต้นทางของสต็อกสินค้านั้นจะเปลี่ยนแปลงสูงขึ้น หรือลดลงไป ก็มิใช่ปัจจัยที่จะส่งผลก่อให้เกิดผลกระทบต่อค่าสินไหมทดแทนที่ควรจะได้รับตามจริงแต่ประการใด

 

เพราะถ้ามิได้เกิดไฟไหม้ขึ้นมาเลย ผู้เอาประกันภัยยังคงขายสินค้านั้นในราคาเดิมอยู่ดี เว้นแต่จะได้มีการปรับเปลี่ยนราคาขายใหม่ตามสภาวะตลาด พร้อมทั้งได้แจ้งต่อบริษัทประกันภัยไปตามนั้น ครั้นถึงเวลาที่มีความเสียหายเกิดขึ้น บริษัทประกันภัยก็จะได้ชดใช้ให้สอดคล้องตามไปด้วยเช่นกัน

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงจากคดี Saunders and Co. Ltd v Phoenix Assurance Co. Ltd. [1953] NZLR 598)

 

มีข้อถกเถียงประเด็นปัญหานี้ในต่างประเทศมากมาย โดยเฉพาะเรื่องค่าซ่อมแซมที่แพงขึ้น เพราะค่าวัสดุ หรือค่าวัตถุดิบได้มีราคาเพิ่มสูงขึ้นช่วงสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งการซื้อขายสินค้าต่าง ๆ ลดลงไป ส่งผลทำให้ผู้ผลิตจำต้องลดกำลังการผลิต หรือกระทั่งเลิกกิจการไปเลยก็มี

 

การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในเรื่องค่าซ่อมแซมจะจ่ายตามจริง ณ วันเวลา และสถานที่เกิดความเสียหายด้วยหรือไม่?

 

เนื่องจากเป็นการซ่อมแซมให้กลับคืนสู่สภาพเดิม แต่ไม่ดีกว่าเดิม ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น แต่ต้นทุนค่าซ่อมกลับเพิ่มสูงขึ้นไปตามสภาวะเศรษฐกิจดังกล่าว

เป็นประเด็นปัญหาแก่การประกันภัยทุกประเภท โดยเฉพาะผู้ทำเคลมประกันภัยรถยนต์น่าจะรู้ดี

บริการ

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul