เรื่องที่ 137 : ข้อยกเว้นการลักทรัพย์ (Theft) กับการไม่ซื่อสัตย์ (Dishonesty) ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินหมายความถึงอะไร?
(ตอนที่หนึ่ง)
คดีศึกษาเรื่องนี้เกิดขึ้น ณ ประเทศอังกฤษ
ข้อยกเว้นภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินกับกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก แบบความคุ้มครองความเสี่ยงภัยทุกชนิด หรือแบบสรรพภัยฉบับที่ผู้เอาประกันภัยถืออยู่ ได้ระบุไม่คุ้มครองถึงความเสียหายอันมีสาเหตุมาจาก
“การลักทรัพย์ (Theft) หรือการพยายามลักทรัพย์ เว้นแต่เกิดขึ้นด้วยการใช้กำลังรุนแรงในการเข้าไปหรืออกจากตัวอาคารที่เอาประกันภัย หรือ
การกระทำโดยฉ้อฉล หรือโดยทุจริต (acts of fraud and dishonesty) ของลูกจ้างของผู้เอาประกันภัย”
คุณเข้าใจความหมายของข้อยกเว้นข้างต้นทั้งสองข้อเช่นใดครับ?
และหากคดีนี้ได้มีการออกใบสลักหลังขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมเฉพาะในส่วนของข้อยกเว้นเรื่องการลักทรัพย์ที่ปรากฏร่องรอยนี้ ให้รวมถึงการลักทรัพย์ หรือการพยายามลักทรัพย์ที่ไม่ปรากฏร่องรอยการเข้า/ออกตัวอาคารที่เอาประกันภัยเข้าไปด้วย
ความเข้าใจของคุณจะเปลี่ยนเป็นเช่นใด?
หากปรากฏข้อมูลแห่งคดีว่า ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นเจ้าของกิจการขายเสื้อผ้าแบรนด์ดังที่มีวางขายอยู่ตามสาขา และร้านค้าต่าง ๆ ทั่วประเทศได้ตรวจพบความผิดปกติของสต็อกสินค้า ณ คลังสินค้าใหญ่ของตนประมาณช่วงต้นปี ค.ศ. 2006 เรื่อยมา แม้ได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยตรวจสอบอีกแรงหนึ่ง ก็ยังค้นหาสาเหตุไม่ได้ จนกระทั่งวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 2008 ก็ได้มีผู้หวังดีแต่ไม่ประสงค์ออกนามให้ข้อมูลจนสามารถจับกุมลูกจ้างผู้กระทำผิดจำนวนสามคนได้ในวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 2008 ประกอบด้วย พนักงานควบคุมการรับคืนสินค้าได้สมคบกับคนขับรถบรรทุกอีกสองคนร่วมมือกันแอบลักขโมยสินค้าไปจากคลังสินค้า โดยกลุ่มคนร้ายได้สารภาพว่า ลงมือกระทำผิดมาตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 2000 จนถึงวันที่ถูกจับกุม รวมเวลาทั้งหมดประมาณแปดปี นับจำนวนครั้งไม่ต่ำกว่าห้าร้อยครั้ง
ครั้นเมื่อผู้เอาประกันภัยได้แจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่บริษัทประกันภัยเจ้าหลักฉบับล่าสุดของตน โดยได้เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในส่วนของความเสียหายต่อทรัพย์สินจำนวน 1 ล้านปอนด์ (หรือประมาณ 40 ล้านบาท) และในส่วนของความสูญเสียทางการเงินอีกจำนวน 3 ล้านปอนด์ (หรือประมาณ 120 ล้านบาท)
คุณคิดว่า ผู้เอาประกันภัยรายนี้จะได้รับความคุ้มครองหรือไม่ อย่างไร?
ประเด็นข้อพิพาทหลักของคดีนี้ คือ
ฝ่ายบริษัทประกันภัยที่ถูกฟ้องเป็นจำเลย
ปฏิเสธความรับผิดชอบโดยอ้างว่า การลักทรัพย์ของลูกจ้างตกอยู่ในข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยทั้งสองฉบับ ถึงแม้ได้มีการขยายความคุ้มครองให้รวมถึงการลักทรัพย์โดยไม่ปรากฏร่องรอยแล้วก็ตาม แต่มิได้มีการขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมรวมไปถึงการฉ้อฉล หรือการทุจริตของลูกจ้าง ภายใต้การประกันภัยความซื่อสัตย์ (Fidelity Insurance/Fidelity Guarantee Insurance) ซึ่งตามแนวปฏิบัติทั่วไปของธุรกิจประกันภัย (Market Practice) จะหมายความรวมถึงการลักทรัพย์ของลูกจ้างอยู่ด้วย ซึ่งทำให้บางครั้งใช้เรียกชื่อเป็นการประกันภัยการลักทรัพย์ของลูกจ้าง (Employee’s Theft Insurance) ก็มี
ขณะที่ฝ่ายผู้เอาประกันภัยโจทก์
คงยืนยันข้อโต้แย้งของตนที่ว่า การลักทรัพย์ คือ การลักทรัพย์ของบุคคลอื่นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามที่กฎหมายบัญญัติเอาไว้ และคนทั่วไปก็เข้าใจเช่นนั้น โดยไม่คำนึงว่า ผู้กระทำผิดจะเป็นลูกจ้าง หรือบุคคลอื่นใดก็ตาม ล้วนตกเป็นผู้มีความผิดฐานลักทรัพย์ทั้งสิ้น
คุณเห็นด้วยกับฝ่ายไหนครับ?
คดีนี้ขึ้นไปสู่ชั้นศาลอุทธรณ์ซึ่งวินิจฉัยเห็นพ้องกับฝ่ายผู้เอาประกันภัยโจทก์ว่า การลักทรัพย์มีความหมายปกติทั่วไป ผู้กระทำผิดที่เป็นบุคคลอื่นนั้นจะเป็นใครก็ได้ หากบริษัทประกันภัยประสงค์จะให้ความหมายพิเศษไม่รวมถึงการลักทรัพย์โดยลูกจ้างด้วย ก็จำต้องเขียนลงไปให้ชัดเจน จะอาศัยเพียงแนวทางปฏิบัติของธุรกิจประกันภัยมาอ้างอิงนั้น ไม่อาจยอมรับได้ จึงตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นให้ฝ่ายบริษัทประกันภัยจำเลยจำต้องคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยทั้งสองฉบับ
(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Ted Baker plc v AXA Insurance UK plc [2012] EWHC 1406)
คุณเห็นพ้องกับคำพิพากษาของศาลไหมครับ?
ผมเคยเขียนบทความเรื่องที่ 7: ภาษาประกันภัย คำใน คำนอก “Theft” ที่แปลเป็นไทยว่า “การลักทรัพย์” และเรื่องที่ 8: ภาษาประกันภัย คำใน คำนอก “Fidelity” ที่แปลเป็นไทยว่า “ความซื่อสัตย์” ลงในพบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ซึ่งวิเคราะห์กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ฉบับมาตรฐานบ้านเรา มีข้อยกเว้นทำนองนี้ว่า
“ก. สาเหตุของความเสียหายที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง
1. ความเสียหายอันเกิดจาก
1.6 การลักทรัพย์ เว้นแต่เป็นการลักทรัพย์จากตัวอาคารโดยการเข้าไปหรือออกจากตัวอาคารนั้นด้วยการใช้กำลังอย่างรุนแรงและทำให้เกิดร่องรอยความเสียหายที่เห็นได้อย่างชัดเจนต่อตัวอาคาร
1.7 การกระทำอันมีลักษณะฉ้อโกงหรือไม่ซื่อสัตย์ต่อผู้เอาประกันภัยหรือทรัพย์สินที่เอาประกันภัย”
โดยเคยแสดงความคิดเห็นส่วนตัวไปว่า ก็คงจำต้องอาศัยหลักการตีความข้อยกเว้นอย่างเคร่งครัดว่า การไม่ซื่อสัตย์ในที่นี้ มิได้หมายความรวมถึงการลักทรัพย์ที่ปรากฏร่องรอย การชิงทรัพย์ และการปล้นทรัพย์ของลูกจ้างด้วย บังเอิญเป็นแนวทางเดียวกันกับคำพิพากษาคดีนี้
นี่เป็นเพียงด่านแรกที่ผู้เอาประกันภัยฟันฝ่าข้อยกเว้นดังกล่าวไปได้
ด่านต่อไปที่น่าสนใจควรติดตาม ได้แก่ ความเสียหายนานถึงแปดปี บริษัทใดบ้างเข้ามารับผิดชอบ และหากรับผิดชอบ ต้องรับผิดเช่นใด?
โปรดติดตามต่อสัปดาห์หน้าครับ
บริการ
- รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย
- รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)
สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com
อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/
และที่ https://www.facebook.com/BestTrainingAdvisory