(ตอนที่สี่)
เรามาคุยกันต่อถึงทางเลือกที่สาม
ซึ่งเชื่อว่า หลายท่านคงพอเดาออกว่า คืออะไร? ลองมาดูกันครับ
(3) เป็นผู้เอาประกันภัยเสียเอง
การเลือกเป็นผู้เอาประกันภัยของ
ภรรยาในที่นี้ สามารถแบ่งย่อยลงไปได้อีก ดังนี้
(ก)
เป็นผู้เอาประกันภัยโดด ๆ คนละกรมธรรม์ประกันภัย
ทางเลือกย่อยนี้ จะเป็นผลต่อเมื่อถ้าสามีภรรยาคู่นี้ได้วางแผน
กันไว้ตั้งแต่ต้นแล้วเท่านั้น โดยต่างคนต่างก็เอาประกัน
อัคคีภัย
เพื่อคุ้มครองบ้านหลังเดียวกันคนละกรมธรรม์ประกัน
ภัยไปเลย
โดยกำหนดทุนประกันภัยไว้ฉบับละห้าแสนบาท
ในแง่ของการประกันภัยถือเป็นการประกันภัยซ้ำซ้อน
(Double Insurance) เนื่องจาก
- มีส่วนได้เสียอย่างเดียวกัน
คือ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทั้งคู่
- วัตถุที่เอาประกันภัยอันเดียวกัน
คือ บ้านที่เป็นสินสมรส
หนึ่งหลัง
- ภัยที่คุ้มครองชุดเดียวกัน
คือ เป็นกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย
สำหรับบ้านอยู่อาศัยเหมือนกัน
- มีผลคุ้มครองในช่วงระยะเวลาเดียวกัน
ฉะนั้น
เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นมาจากภัยที่คุ้มครอง ทั้งสอง กรมธรรม์ประกันภัยต่างจะมาร่วมเฉลี่ยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกันตามส่วน
ในที่นี้ คือ คนละครึ่ง
สมมุติว่า เกิดไฟไหม้ขึ้นมา
ทำให้บ้านหลังนั้นเสียหายบางส่วน คิดเป็นเงินค่าซ่อมแซม 20,000 บาท
แต่ละกรมธรรม์ประกันภัยก็จะมาชดใช้ให้ฉบับละ 10,000 บาท
ถ้าไฟไหม้เสียหายทั้งหมด ก็เป็นฉบับละห้าแสนบาท
แต่ถ้ามิได้วางแผนกันไว้ล่วงหน้าแต่แรก
ก็ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ เพราะสามีได้ทำประกันภัยไว้เต็มมูลค่าหนึ่งล้านบาทเอาไว้แล้ว
(ข) เป็นผู้เอาประกันภัยควบในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับของ
สามี
โดยหลักการ กรณีที่มีผู้มีส่วนได้เสียเดียวกันในวัตถุที่เอา
ประกันภัยเดียวกัน มากกว่าหนึ่งคนรวมอยู่ในกรมธรรม์ประกัน
ภัยฉบับเดียวกัน
จะเรียกเป็นการประกันภัยควบ (Joint
Insurance) ผู้เอาประกันภัยลักษณะนี้ ก็จะเรียกว่า ผู้เอา
ประกันภัยควบ (Joint Insured) เสมือนรวมกันเป็นหนึ่ง
เดียว โดยผู้เอาประกันภัยแต่ละรายต่างก็มีสิทธิ
และหน้าที่ตาม
สัญญาประกันภัยเท่าเทียมกัน บริษัทประกันภัยก็จะต้อง
ปฎิบัติต่อผู้เอาประกันภัยทุกรายเสมอภาคกันด้วย
อ้างอิงคดีในประเทศอังกฤษ General Accident Fire and Life
Assurance
Corporation Limited v Midland Bank Limited
[1940] 2 KB388
ซึ่งระบุว่า “อาจมีการทำประกันภัยควบ
(Joint Insurance) ขึ้นมาโดยผู้ที่มีส่วนได้เสียร่วมกันได้
(Joint Interest)
ถ้า A กับ B เป็นเจ้าของร่วมอยู่ในทรัพย์สิน
เดียวกัน
เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองร่วมกัน ก็ถือเป็น
สัญญาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเป็นจริง
(a true
contract of indemnity) สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นร่วม
กัน (joint loss) ซึ่งทั้งสองต่างร่วมกันได้รับ (jointly
suffered)”
ด้วยเหตุนี้
การกระทำของผู้เอาประกันภัยควบรายใด ก็จะส่งผลต่อผู้เอาประกันภัยควบอีกรายด้วย เปรียบเสมือนได้กับร่วมลงเรือลำเดียวกันนั่นเอง
ฉะนั้น การที่ผู้เอาประกันภัยควบรายหนึ่งปกปิดข้อความจริง
อันเป็นสาระสำคัญ หรือด้วยการแถลงข้อความเท็จ ซึ่งส่งผลทำให้สัญญาประกันภัยตกเป็นโมฆียะ
ผู้เอาประกันภัยควบรายอื่นจะปฎิเสธไม่รับรู้มิได้
(อ้างอิงคดีในประเทศออสเตรเลีย Advance (NSW) Insurance Agencies Pty Limited v Matthews
(1989) 166 CLR 606: 63 ALJR 365)
สามีภรรยาคู่หนึ่งเช่าบ้านหลังหนึ่งอยู่
โดยได้นำบ้านหลังนั้น พร้อมกับทรัพย์สินในบ้านมาทำประกันภัยทรัพย์สิน ภายใต้ชื่อผู้เอาประกันภัยควบคู่กันทั้งสองคน
ต่อมาเกิดไฟไหม้บ้านเช่าหลังนั้น
บริษัทประกันภัยซึ่งให้ความคุ้มครองอยู่ตกลงจะมาซ่อมแซมความเสียหายให้ สามีจึงไปหาบ้านเช่าแห่งอื่นอยู่ชั่วคราว
โดยแจ้งบริษัทประกันภัยนั้นว่า ตนได้ทำสัญญาเช่า
และได้จ่ายเงินมัดจำกับค่าเช่าบ้านหลังใหม่ไปแล้ว ขอเรียกร้องให้บริษัทประกันภัยชดใช้เงินดังกล่าวคืนมาให้ตามเงื่อนไขขยายความคุ้มครองค่าเช่าที่อยู่อาศัยชั่วคราวด้วย
แต่บริษัทประกันภัยสืบพบว่า สามีที่เป็นผู้เอาประกันภัยควบกระทำทุจริต เพราะในความเป็นจริงแล้ว
บ้านเช่าหลังใหม่นั้นกลายเป็นบ้านของผู้เอาประกันภัยควบรายนี้เอง
ทั้งใบเสร็จค่าเช่าที่นำมาแสดง ก็เป็นเอกสารเท็จ ดังนั้น บริษัทประกันภัยจึงปฎิเสธไม่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทั้งหมด
(ทั้งค่าซ่อมแซมความเสียหายจากไฟไหม้กับค่าเช่าที่อยู่อาศัยชั่วคราว)
ภรรยาซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยควบอีกรายหนึ่ง
และมิได้สมคบกระทำการฉ้อฉลร่วมกับสามีของตน จึงฟ้องให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย
โดยได้ต่อสู้คดีถึงชั้นศาลอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่า เนื่องจากเป็นการประกันภัยควบ
ฉะนั้น การกระทำของผู้เอาประกันภัยควบรายหนึ่ง
ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้เอาประกันภัยควบรายอื่นด้วย ถึงแม้จะมิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น (Innocent Insured) ก็ตาม
บริษัทประกันภัยจึงไม่จำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในคดีนี้แต่ประการใด (อ้างอิงคดีในประเทศอังกฤษ
Direct
Line v Khan [2001] EWCA Civ 1794)
ถึงตอนนี้
คุณมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ?
ผมขอนำไปคุยกันต่อในตอนต่อไปนะครับ