วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558




เจ้าบ้านสามารถเอาประกันภัยบ้านที่ตนอยู่อาศัยมาทำประกันภัยได้หรือไม่ (2)

จากประเด็นความเห็นผู้อาศัยไม่สามารถที่จะเอาประกันภัยบ้านที่ตนอาศัยอยู่ได้นั้น ยังมีข้อโต้แย้งว่า
1)      ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4830/2537 วินิจฉัยว่า ผู้ที่มีสิทธิเอาประกันภัยไม่จำกัดแต่ผู้มีกรรรมสิทธิ์เท่านั้น ผู้ที่มีความสัมพันธ์กับทรัพย์ หรือสิทธิ หรือผลประโยชน์ หรือรายได้ใด ๆ ซึ่งหากเกิดวินาศภัยขึ้น จะทำให้ผู้นั้นต้องเสียหายทางการเงิน และ
2)      ในประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 1402 บัญญัติรองรับไว้ว่า “บุคคลใดได้รับสิทธิอาศัยในโรงเรือน บุคคลนั้นย่อมมีสิทธิอยู่ในโรงเรือนนั้น โดยไม่ต้องเสียค่าเช่า

ฉะนั้น ผู้อาศัยมีกฎหมายรองรับ และมีสิทธิที่จะนำเอาบ้านที่ตนเองอาศัยมาทำประกันภัยได้
ผมขออกตัวเสียก่อนว่า ผมมิได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายแต่ประการใด แม้ผมเคยได้เรียนจบกฎหมาย แต่ก็มิได้ปฎิบัติงานทางด้านกฎหมายเลย เพียงแต่พยายามทำการศึกษาค้นคว้า และหามุมมองที่แตกต่างออกไปหลายมุม

ในมุมมองของผม สิทธิของผู้อาศัยนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จำกัดสิทธิเอาไว้ค่อนข้างเยอะ เป็นต้นว่า สามารถนำบุคคลในครอบครัวมาอยู่ด้วยก็ได้ (มาตรา 1405) หรือมีสิทธิเก็บดอกผลในสถานที่นั้นก็ได้ (มาตรา 1406) เว้นแต่จะระบุห้ามเอาไว้โดยชัดแจ้ง ประกอบกับมาตรา 1407 ยังได้ระบุอีกว่า ถ้าผู้อาศัยได้ออกค่าใช้จ่ายในการทำให้ทรัพย์สินที่ตนอาศัยอยู่ดีขึ้น ไม่อาจเรียกค่าใช้จ่ายนั้นคืนจากผู้ให้อาศัยได้ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงมองว่า ผู้อาศัยตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ไม่น่าจะหมายความรวมถึงบุคคลในครอบครัวของเจ้าของกรรมสิทธิ์ในสถานที่นั้นเอง ดังเช่นตัวอย่างที่พวกผมซึ่งเป็นลูกอาศัยอยู่ในบ้านพ่อแม่ ไม่น่าถือเป็นผู้อาศัยในความหมายของกฎหมายดังกล่าว น่าจะมองเป็นลักษณะตัวแทนในการครอบครองแทนตัวการเจ้าของกรรมสิทธิ์มากกว่า

อย่างไรก็ดี ด้วยสิทธิที่มีอย่างจำกัดของผู้อาศัย ผมก็ไม่คิดว่า ผู้อาศัยจะสามารถมีส่วนได้เสียที่จะบ้านที่ตนเองอาศัยอยู่ไปทำประกันภัยได้ ด้วยเหตุผล ดังนี้
ก)      ถ้าสามารถทำได้ ผู้อาศัยเป็นคู่สัญญากับบริษัทประกันภัย ในฐานะผู้เอาประกันภัย โดยอาจกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัยตามมูลค่าบ้าน ภายใต้กรมธรรม์ประกันอัคคีภัย ต่อมา หากผู้อาศัยประมาทเลินเล่อทำให้เกิดไฟไหม้บ้านหลังนั้น ผู้อาศัยในฐานะผู้เอาประกันภัยก็ไปขอรับค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย และเจ้าของบ้านตัวจริงจะได้รับการชดใช้ค่าเสียหายอย่างไร จำต้องไปใช้สิทธิทางกฎหมายอื่นไปเรียกร้องจากผู้อาศัยกระนั้นหรือ หากผู้อาศัยบ่ายเบี่ยงหรือหลบหนีไป หรือ
ข)      ผู้อาศัยทำประกันอัคคีภัยคุ้มครองบ้านที่ตนอาศัย และระบุให้เจ้าของบ้านตัวจริงเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย กรณีนี้ อาจตอบโจทย์ข้างบนได้ แต่ผมก็ยังสงสัยว่า ทำไมเจ้าของบ้านตัวจริงไม่ทำประกันภัยเสียเอง หรือ
ค)     หากเกิดว่า ทั้งผู้อาศัยกับเจ้าของบ้านตัวจริงต่างคนต่างทำประกันอัคคีภัยคุ้มครองบ้านหลังเดียวกัน โดยอาจไม่รู้กัน ถือเป็นการประกันภัยซ้ำซ้อน ทั้งสองกรมธรรม์ประกันภัยจำต้องมาร่วมเฉลี่ยค่าเสียหายหรือไม่ ถ้าปราศจากประเด็นข้อโต้แย้งว่า ไม่ถือเป็นส่วนได้เสียอย่างเดียวกัน (สิทธิอาศัยกับกรรมสิทธิ์) ทั้งสองฉบับก็จะต้องนำมาหารเฉลี่ยค่าสินไหมทดแทนกันตามส่วน หากสรุปว่า เนื่องจากไม่ใช่ส่วนได้เสียอย่างเดียวกัน ใครมีส่วนได้เสียดีกว่า ก็ได้รับไป เช่นนี้ กรมธรรม์ประกันภัยของเจ้าบ้านตัวจริงก็รับผิดชอบไปโดยลำพัง ประเด็นที่น่าสนใจต่อไป บริษัทประกันภัยที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปนั้น สามารถสวมสิทธิไปไล่เบี้ยผู้อาศัยที่กระทำประมาทเลินเล่อนั้นได้หรือไม่
เนื่องด้วยส่วนได้เสียในการทำประกันภัยนั้น สามารถจำแนกออกได้เป็นสามลักษณะ ดังนี้
(1)   ส่วนได้เสียในทรัพย์สิน
(2)   ส่วนได้เสียในชีวิตร่างกาย
(3)   ส่วนได้เสียในความรับผิดตามกฎหมาย

ดังนั้น หากผู้อาศัยสนใจจะทำประกันภัย ผมจะแนะนำให้ไปทำประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายมากกว่าที่จะให้ไปทำประกันภัยทรัพย์สินคุ้มครองบ้านที่ตนอาศัยอยู่ เพราะจะสามารถมาเรียกให้ผู้รับประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายของตนมาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัทประกันภัยของเจ้าของบ้านดังกล่าวได้

ประกอบกับได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1742/2520 เคยวินิจฉัยเป็นแนวทางเอาไว้ว่า โจทก์ผู้ครอบครองตึกของผู้อื่นในฐานะผู้อาศัย ไม่มีส่วนได้เสียที่จะเอาประกันภัยตึกได้

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เจ้าบ้านสามารถเอาประกันภัยบ้านที่ตนอยู่อาศัยมาทำประกันภัยได้หรือไม่



เจ้าบ้านสามารถเอาประกันภัยบ้านที่ตนอยู่อาศัยมาทำประกันภัยได้หรือไม่

เวลาที่มีโอกาสไปบรรยายตามสถานที่ต่าง ๆ ผมมักจะตั้งคำถามข้างต้นแก่ผู้เข้าอบรม โดยเทียบเคียงกับชีวิตจริงของตนเอง คราวที่พวกเราพี่น้องถูกพ่อส่งให้ทยอยมาเรียนที่กรุงเทพ ช่วงแรกพี่ชายมาก่อน ได้ไปอยู่บ้านญาติ ผมตามมาในปีที่สอง ก็จำต้องไปอยู่โรงเรียนประจำ พอปีต่อมา จะมีน้องตามมาอีก พวกเราเลยร้องขอพ่อให้ซื้อบ้านอยู่ที่กรุงเทพ โดยพ่อก็ตกลงซื้อ และคุยหารือกันว่า ในทะเบียนบ้านที่กรุงเทพจะใส่ชื่อใครเป็นเจ้าบ้าน ถ้าใส่ชื่อพ่อ เขาก็จะต้องย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ที่กรุงเทพ ทั้งที่เขายังคงทำมาค้าขายอยู่ที่ต่างจังหวัดดังเดิม พ่อผมจึงสรุปให้ใส่ชื่อพี่ชายเป็นเจ้าบ้านในทะเบียนบ้านที่กรุงเทพแทน คำถามของผม คือ ถ้าพี่ชายผมซึ่งเป็นเจ้าบ้านนำบ้านหลังนั้นมาทำประกันภัยได้หรือไม่

คำตอบที่ได้รับจากผู้รับฟัง แบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งบอกว่า ได้ เพราะเป็นเจ้าบ้านตามทะเบียนบ้าน อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่า ไม่ได้ เพราะมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์บ้าน

คำเฉลยในเรื่องนี้ก็คือ คำว่า “เจ้าบ้าน” หมายถึง ผู้ที่ระบุชื่อในทะเบียนบ้านให้เป็นเจ้าบ้านนั้น อาจใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านด้วยหรือไม่ก็ได้ ถ้าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านด้วย ถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายที่สามารถนำบ้านของตนเองมาทำประกันภัยได้ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 ที่ว่า “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด” 

แต่ถ้าอย่างในกรณีนี้ พี่ชายผมเป็นเพียงเจ้าบ้านหลังดังกล่าวเท่านั้น มิใช่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านด้วย พวกผมจึงมีสถานะในบ้านหลังนั้นเพียงเป็นผู้อาศัยเท่านั้น ซึ่งไม่มีกฎหมายรองรับสถานะ เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่  1723/2551ที่พิจารณาว่า “แม้จำเลยจะมีชื่ออยู่ในสำเนาทะเบียนบ้านพิพาทในฐานะเจ้าบ้านก็มิใช่ผู้มีกรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทตามกฎหมาย

ดังนั้น ส่วนตัวแล้ว ผมมักจะให้ความสำคัญกับคำว่า “ผู้เอาประกันภัย” ค่อนข้างมาก ซึ่งจะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่มีกฎหมายมารองรับด้วย

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558



เงื่อนไขพิเศษที่ว่าด้วยการเรียกร้องค่าเสียหายระหว่างกัน (Cross Liability Clause)

ในกรมธรรม์ประกันภัยการปฎิบัติงานตามสัญญา (Contract Works Insurance Policy) สำหรับงานก่อสร้างหรืองานติดตั้งนั้น ปกติ จะประกอบด้วยผู้เอาประกันภัยร่วมหลายราย กล่าวคือ เจ้าของโครงการ หรือผู้ว่าจ้าง ผู้รับเหมาหลัก หรือผู้รับจ้าง ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างเป็นคู่สัญญาว่าจ้างโดยตรง และยังรวมถึงผู้รับเหมาช่วงที่รับงานมาจากผู้รับเหมาหลักอีกด้วย  เมื่อทั้งหมดล้วนถูกระบุให้เป็นผู้เอาประกันภัยร่วม หากแต่ละฝ่ายทำงานจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่อีกฝ่ายหนึ่ง จะไม่ถือเป็นบุคคลภายนอก อันจะสามารถได้รับความคุ้มครองภายใต้หมวดความคุ้มครองที่สามที่ว่าด้วยความรับผิดต่อบุคคลภายนอกได้

ด้วยเหตุนี้ เงื่อนไขพิเศษที่ว่าด้วยการเรียกร้องค่าเสียหายระหว่างกัน (Cross Liability Clause) จึงเข้ามามีบทบาทที่สำคัญ ในการขยายความคุ้มครองโดยทำให้ผู้เอาประกันภัยร่วมฝ่ายที่ได้รับความเสียหายสามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้เอาประกันภัยร่วมอีกฝ่ายหนึ่งได้ เสมือนตนเองเป็นบุคคลภายนอก โดยมีข้อยกเว้นพิเศษเฉพาะ ดังนี้
1)       ความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัยที่ได้รับความคุ้มครองอยู่แล้ว หรืออาจจะได้รับความคุ้มครองภายใต้หมวดความคุ้มครองที่หนึ่งและที่สองว่าด้วยงานก่อสร้างกับงานติดตั้ง เป็นต้นว่า ผู้รับเหมางานระบบไปทำความเสียหายแก่งานของผู้รับเหมาอาคาร จะใช้เงื่อนไขพิเศษนี้มาเรียกร้องไม่ได้ เพราะได้รับความคุ้มครองอยู่แล้วภายใต้หมวดความคุ้มครองที่หนึ่ง หรือกระทั่งผู้รับเหมารายหนึ่งไปทำความเสียหายแก่ทรัพย์สินเดิมของผู้ว่าจ้าง ถ้าได้ขยายเงื่อนไขพิเศษที่ว่าด้วยทรัพย์สินที่มีอยู่เดิมของผู้ว่าจ้าง(Principal's Existing Property) ไว้แล้ว จะมาเรียกร้องภายใต้เงื่อนไขพิเศษนี้ซ้ำซ้อนอีกไม่ได้ แต่ถ้าไม่ได้ขยายเงื่อนไขพิเศษนั้นไว้เลย จะอาศัยเงื่อนไขพิเศษนี้ มาเรียกร้องให้รับผิดได้
2)       การเสียชีวิต หรือความบาดเจ็บ หรือความเจ็บป่วยของลูกจ้าง หรือคนงานของผู้เอาประกันภัยร่วม ซึ่งได้รับคุ้มครอง หรืออาจจะได้รับความคุ้มครองภายใต้การประกันภัยเงินทดแทนแรงงาน หรือการประกันภัยความรับผิดของนายจ้าง ในการตีความข้อยกเว้นเฉพาะนี้ คงต้องตีความแบบแคบว่า ไม่ได้เป็นการยกเว้นโดยสิ้นเชิง หากว่าผู้รับเหมาหลักซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยร่วมฝ่ายหนึ่งไปทำให้คนงานของผู้รับเหมาช่วงอีกฝ่ายหนึ่งจนได้รับบาดเจ็บ ก็สามารถได้รับความคุ้มครองภายใต้เงื่อนไขพิเศษนี้อยู่ เพราะข้อยกเว้นเฉพาะนี้ จำกัดเพียงผู้รับเหมาหลักทำความบาดเจ็บแก่คนงานของตนเองเท่านั้น เทียบเคียงกับคดี
National Vulcan Engineering Insurance Group Limited & Ors v Transfield Construction Pty Limited & Ors [2003] NSWCA 327

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

อะไรคือความสูญเสียหรือความเสียหายทางกายภาพของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย


เมื่อสัปดาห์ก่อน ได้มีการหยิบยกเหตุการณ์ไฟไหม้บ่อขยะ ทำให้เกิดควันพิษแพร่กระจายออกไปทั่วบริเวณนั้น จนถึงกับต้องอพยพผู้คนออกไปด้วย เนื่องจากกว่าจะสามารถดับไฟที่บ่อขยะ ก็ใช้เวลานานหลายวัน มาเป็นกรณีศึกษาทางด้านประกันภัย โดยสมมุติว่า
หากภายหลังกระทรวงสาธารณสุขตรวจสอบพบว่า บ้านของผู้เอาประกันภัย ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมากที่สุดได้ถูกควันพิษอบอยู่หลายวัน จนกระทั่งสารพิษได้ฝังตัวแทรกอยู่ในตัวบ้านจนไม่ปลอดภัยแก่การพักอยู่อาศัยได้อีกต่อไป จำต้องรื้อถอน เพื่อสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยวัสดุใหม่ทั้งหมด ถ้าท่านเป็นผู้รับประกันภัยบ้านของผู้เอาประกันภัยรายนี้ภายใต้กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัย ท่านจะพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยรายนี้หรือไม่ อย่างไร?


เรื่องนี้เป็นประเด็นในการตีความคำว่า “ความสูญเสีย หรือความเสียหายทางกายภาพ” ต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้น มีความหมายอย่างไรในการตีความของศาลต่างประเทศ เนื่องด้วยยังไม่พบคดีฟ้องร้องในประเด็นนี้ในศาลไทย ทั้งในกรมธรรม์ประกันภัยก็มิได้ให้คำจำกัดความเอาไว้เลย ครั้นจะอาศัยพจนานุกรมในการตีความนั้น ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตกลับให้ความหมายว่า "กายภาพ หมายความถึง เกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต เกี่ยวกับสสารและพลังาน, เกี่ยวกับลักษณะตามธรรมชาติของโลก"

ตามความเข้าใจของคนทั่วไป มักจะตีความว่า เป็นความสูญเสีย หรือความเสียหายที่สามารถสัมผัส หรือมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น รอยถูกไฟไหม้ รอยเปียกน้ำ แต่รอยการถูกควันจากไฟไหม้ ซึ่งถือเป็นสาเหตุใกล้ชิดจากภัยไฟไหม้ (หากควันเกิดขึ้นมาก่อนการเกิดไฟลุกไหม้ จะไม่ได้รับความคุ้มครองภายใต้ภัยไฟไหม้ของกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย) จากตัวอย่างดังกล่าว รอยถูกไฟไหม้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ส่วนทรัพย์สินที่เอาประกันภัยเปียกน้ำดับเพลิง ถ้าทรัพย์สินนั้นเป็นไม้ หรือเป็นคอนกรีต น้ำสามารถแทรกซึมเข้าไปได้ มองด้วยตาเปล่า ทรัพย์สินเหล่านั้นเสมือนหนึ่งไม่ปรากฏร่องรอยความเสียหายเลย เพียงนำผ้ามาเช็ดหยดน้ำที่เกาะอยู่ ก็อาจเพียงพอแล้ว แต่ลึกเข้าไปข้างในหยดน้ำยังฝังตัวอยู่ อาจสร้างความเสียหายต่อเนื่องถึงขนาดทำให้เนื้อไม้เปื่อยผุพังได้ หรือเกิดเชื้อราขึ้นที่ตัวคอนกรีตในภายหลังก็เป็นได้ ซึ่งถือเป็นสาเหตุใกล้ชิดจากภัยไฟไหม้ได้เช่นกัน 

สำหรับความเสียหายของควันจากไฟไหม้ก็มิได้แตกต่างกันในการพิจารณา เพียงแต่กลิ่นเหม็น หรือสารพิษจากซากที่ถูกไฟไหม้ที่แฝงตัวอยู่ในควันไฟที่ลอยมา และมาฝังตัวลึกลงไปอยู่ในทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้น อาจจะสัมผัสไม่ใคร่ได้ชัดเจน กลิ่นเหม็นอาจพอสัมผัสสูดดมได้ แต่สารพิษที่ฝังตัวอยู่ภายใน อาจจำต้องใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาตรวจสอบ และเมื่อตรวจพบว่า ไม่ปลอดภัยและเหมาะสมสำหรับการใช้อยู่อาศัยอีกต่อไป ก็ถือได้ว่า ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยได้รับความเสียหายทางกายภาพโดยสิ้นเชิง การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเป็นจริงเพื่อให้กลับคืนสู่สภาพเดิม จำต้องรื้อและสร้างขึ้นมาใหม่ทดแทน ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว