วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

เรื่องที่ 232 : ภาวะของข้อยกเว้นภัยสงครามในกรมธรรม์ประกันภัยควรเริ่มต้น และสิ้นสุด (Duration of War) ลงเมื่อไหร่?

 

ข้อยกเว้นภัยสงคราม (War Risk) มีปรากฏอยู่ในกรมธรรม์ประกันภัยเกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นประเภทการประกันวินาศภัย หรือการประกันชีวิต โดยไม่ได้มีคำนิยามกำกับเอาไว้ด้วย

 

อะไร คือ ภัยสงคราม?

 

ภัยสงครามจะเริ่มนับตั้งแต่เมื่อไหร่?

 

และจะถือว่า สิ้นสุดลงเมื่อใด?

 

คำถามต่าง ๆ ข้างต้นเป็นปัญหาโลกแตกในการค้นหาความหมายที่ยอมรับกันได้ทั่วไป

 

มักจะมีปัญหาการตีความหมายกันอยู่ตลอด

 

จำเป็นไหมที่ภาวะสงครามจะต้องมีการประกาศระหว่างรัฐแห่งชาติศัตรูคู่กรณีเสียก่อนว่า เริ่มต้น และจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่?

 

สำหรับประเด็นหัวข้อเรื่องต่าง ๆ ที่จั่วไว้นั้น

 

ขอให้ลองเทียบเคียงกับตัวอย่างคดีศึกษานี้

 

ผู้เอาประกันภัยเป็นผู้สื่อข่าว และช่างภาพต่างประเทศได้เข้าไปทำข่าวการสู้รบระหว่างกลุ่มประเทศอังกฤษ อิสราเอล และฝรั่งเศสกับประเทศอิยิปต์ กรณีข้อพิพาทการยึดควบคุมคลองสุเอซ ซึ่งได้เริ่มต้นการปะทะกันมาตั้งแต่เดือนตุลาคม ค.ศ. 1956

 

ผู้เอาประกันภัยโชคร้ายได้เสียชีวิตลงจากการถูกยิงของฝ่ายอิยิปต์ระหว่างการโดยสารรถยนต์ไปกับคณะผู้สื่อข่าวอื่น ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเอง เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนเพิ่งได้มีข้อตกลงหยุดยิงระหว่างคู่กรณีสองฝ่ายไปหยก ๆ

 

คดีได้ถูกนำขึ้นสู่ศาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาโดยทายาทของผู้เอาประกันภัยรายนี้ เพื่อบังคับให้บริษัทประกันภัยผู้ให้ความคุ้มครองการเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัยรายนี้ และได้ปฏิเสธความรับผิดโดยหยิบยกข้อยกเว้นภัยสงครามมากล่าวอ้าง ทำหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามภาระผูกพัน

 

ประเด็นข้อพิพาท คือ ผู้เอาประกันภัยรายนี้ได้เสียชีวิตลงระหว่างภัยสงครามจริงหรือไม่?

 

ศาลได้พิพากษาว่า แนวทางการแปลความหมายภัยสงครามของศาลปกติทั่วไปนั้นได้วางหลักเกณฑ์ว่า สำหรับสัญญาประกันภัยนั้นจะไม่ได้ยึดอ้างอิงหลักข้อกฎหมาย หรือกฎข้อบังคับเป็นสำคัญ แต่จะอาศัยการพิจารณาจากมุมมองกับความเข้าใจของคนทั่วไปเป็นเกณฑ์มากกว่า (an insurance policy is generally a contract with the average man who presumably is unfamiliar with the existence of a state of war from the strictly political, military and/or legal standpoint.)

 

เมื่อเป็นเช่นว่านี้ ภัยสงครามจะเริ่มนับตั้งแต่การสาดกระสุนเข้าใส่กันคราแรก จวบจนถึงการมีข้อตกลงหยุดยิง (ceasefire agreement) ระหว่างกัน ซึ่งได้ปรากฏหลักฐานทางเอกสารรับรองถึงข้อตกลงระหว่างทั้งสองฝ่ายที่จะให้การหยุดยิง โดยมีผลเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1956 เป็นต้นไปแล้ว ส่วนหากจะปรากฏภายหลังยังมีการใช้ความรุ่นแรง หรือการยิงปะทะกันอยู่ประปรายบ้างนั้น ก็ไม่ถือว่า ภาวะสงครามศึกแย่งชิงคลองสุเอซคงยังดำเนินต่อไปอยู่อีก

 

จึงตัดสินให้บริษัทประกันภัยนั้นรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Shneiderman v. Metropolitan Casualty, 14 A.D.2d 284, 287 (N.Y. 1961))

 

อนึ่ง ในแง่มุมอื่นของการประกันภัย ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวข้องกับภัยนี้ไว้ในเรื่องที่ 67 : เรื่องแทรกพิเศษจากกัลยาณมิตร ในบทความพบ ปะ กัน เป็นเรื่อง เป็นราว เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 พร้อมกับคำนิยามกว้าง ๆ ของภัยสงครามกับภัยอื่นที่เกี่ยวข้องให้ไว้ด้วย ถ้าสนใจ ลองย้อนกลับไปสืบค้นหาดูได้ครับ

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

 

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

เรื่องที่ 231 : นายหน้าประกันวินาศภัยจัดกรมธรรม์ประกันภัยซ้ำซ้อนสามฉบับ (Triple Insurance) ให้แก่ลูกค้า จำต้องรับผิดอย่างไร? และยังได้ก่อให้เกิดบรรทัดฐานใหม่ในการร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (Contribution Method) ด้วย

 

เมื่อมีกรมธรรม์ประกันภัยหลายฉบับให้ความคุ้มครองซ้ำซ้อนแก่ความเสียหายเดียวกัน จะตกอยู่ภายใต้หลักการประกันภัยว่าด้วยการร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (Principle of Contribution) ซึ่งภาษากรมธรรม์ประกันภัยอาจเรียกว่า “การประกันภัยซ้ำซ้อน (Double/Dual Insurance)” อันที่จริงควรเรียก  การประกันภัยหลายราย (Multiple Insurances)” มากกว่า เพราะอาจมีมากกว่าสองฉบับก็ได้ หรือกระทั่งเรียก “การประกันภัยอื่น (Other Insurance)” ก็มี

 

ดั่งที่เคยเขียนไว้ในบทความเรื่องที่ 13 ข้อยกเว้นที่ 14 ของกรมธรรม์ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน เมื่อปี พ.ศ. 2558 ขอยกข้อความบางส่วนมากล่าวซ้ำอีกครั้ง การประกันภัยทุกราย หรือทุกฉบับนั้นจะต้องเข้ามาร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยวิธีการอาจเป็นลำดับกัน หรือพร้อมกันก็ได้ ทั้งนี้ เพื่อมิให้ผู้เอาประกันภัยได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าความเสียหายที่แท้จริง อันเป็นไปตามหลักการประกันภัยในเรื่องการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเป็นจริง (Principle of Indemnity) หรือวงเงินความคุ้มครองรวมทั้งหมด แต่ในทางปฎิบัติแล้ว วิธีการร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น อาจมีความซับซ้อน และยุ่งยากกว่าที่คิด ด้วยเหตุนี้ ในประเทศอังกฤษ และประเทศต่าง ๆ จึงได้เปิดโอกาสให้สามารถมีการกำหนดเงื่อนไขเป็นพิเศษเรื่องการร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (Contribution Conditions) ไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ให้มีความแตกต่างจากหลักการประกันภัยปกติทั่วไปดังกล่าว ซึ่งสามารถจำแนกเงื่อนไขออกได้ดังนี้

 

    1) เงื่อนไขข้อห้าม (Escape Clauses)

 

เป็นเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับแรก โดยห้ามมิให้ผู้เอาประกันภัยไปทำประกันภัยฉบับอื่นมาซ้ำซ้อนกัน โดยปราศจากความเห็นชอบจากผู้รับประกันภัยรายแรกเสียก่อน

 

    2) เงื่อนไขการไม่ร่วมชดใช้กับกรมธรรม์ประกันภัยอื่น (Other Non-contribution Clauses)

 

เป็นเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ระบุว่า กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้จะไม่คุ้มครอง หากผู้เอาประกันภัยมีกรมธรรม์ประกันภัยฉบับอื่นที่ให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายเดียวกัน

 

    3) เงื่อนไขการประกันภัยอื่นโดยเฉพาะเจาะจง (More Specific Insurance Clauses)

 

เป็นเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ระบุว่า กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้จะให้คุ้มครองเป็นส่วนเกินจากกรมธรรม์ประกันภัยโดยเฉพาะเจาะจงฉบับอื่น

 

    4) เงื่อนไขการร่วมชดใช้ตามส่วน (Rateable Proportion Clauses)

 

เป็นเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ระบุว่า จะร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามส่วนกับกรมธรรม์ประกันภัยฉบับอื่น ซึ่งเคยได้เขียนไว้เช่นกันในคู่มือปฏิบัติงานสำหรับนายหน้าประกันวินาศภัยของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย บทที่ 2 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนายหน้าประกันวินาศภัย นว. 2 เรื่องที่ 2.5 หลักการร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทน และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยขอถอดข้อความบางส่วนมาดังนี้

 

คำว่าร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามส่วนมากน้อยที่ผู้รับประกันภัยแต่ละรายรับประกันภัยไว้นั้น มิได้มีการกำหนดคำนิยามเอาไว้ ในทางปฏิบัติจะทำได้ 2 วิธีย่อย  คือ

 

4.1) วิธีตามส่วนจำนวนเงินเอาประกันภัย (Pro Rata to Sum Insured Method or Maximum Liability Method) เป็นการร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยแบ่งตามสัดส่วนจำนวนเงินเอาประกันภัยของผู้รับประกันภัยแต่ละราย

 

4.2) วิธีคำนวณความรับผิดโดยเอกเทศ (Independent Liability Method) เป็นการร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในลักษณะเฉลี่ยจากความรับผิดของกรมธรรม์ประกันภัยแต่ละฉบับเป็นอิสระแยกจากกันเสียก่อน จากนั้นค่อยนำความรับผิดของผู้รับประกันภัยแต่ละรายมาคำนวณส่วนเฉลี่ยจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่ผู้รับประกันภัยแต่ละรายจะต้องจ่ายเป็นลำดับถัดไป

 

วิธีย่อยที่สองนี้ มักนิยมใช้กับการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายกับการประกันภัยทางทะเลและขนส่งมากกว่า

 

ตัวอย่างคดีศึกษาเรื่องนี้มาจากประเทศอังกฤษ เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2025 นี้เอง

 

เมื่อผู้เอาประกันภัยซึ่งประกอบกิจการทรัสต์เป็นโจทก์ฟ้องบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยของตนเป็นจำเลยให้รับผิด อันเป็นผลเนื่องมาจากโทษฐานความพลั้งพลาดสองกรณีดังนี้

 

ก) กรณีการจัดกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายซ้ำซ้อนกันถึงสามฉบับกับสามบริษัทประกันภัย อันได้แก่

 

(1) กรมธรรม์ประกันภัยไซเบอร์ (Cyber Policy) มีวงเงินความคุ้มครองสูงสุดที่ 1 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 43,522,161.48 บาท) ตลอดระยะเวลาประกันภัย (รวมค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี) และวงเงินความรับผิดส่วนแรกที่ 5,000 ปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 217,610.81 บาท) ต่อการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนแต่ละครั้ง และทุกครั้ง

 

(2) กรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดเชิงพาณิชย์ แบบครอบคลุม (Combined Liability Policy) มีวงเงินความคุ้มครองสูงสุดที่ 5 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 217,610,807.42 บาท) ตลอดระยะเวลาประกันภัย (รวมค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี) และวงเงินความรับผิดส่วนแรกที่ 500 ปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 21,761.08 บาท) ต่อเหตุการณ์แต่ละครั้ง และทุกครั้ง

 

(3) กรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายทางวิชาชีพ (Professional Indemnity Policy) มีวงเงินความคุ้มครองสูงสุดที่ 5 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 217,610,807.42 บาท) ตลอดระยะเวลาประกันภัย (บวกด้วยค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี) และวงเงินความรับผิดส่วนแรกที่ 5,000 ปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 217,610.81 บาท) ต่อการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนแต่ละครั้ง และทุกครั้ง

 

ข) กรณีการให้คำแนะนำที่ผิดพลาดเรื่องการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย ภายหลังเมื่อลูกจ้างของผู้เอาประกันภัยโจทก์ได้กระทำข้อมูลส่วนบุคคลของทั้งลูกค้ากับพนักงานโจทก์จำนวนมากรั่วไหลออกไปโดยไม่ได้เจตนา จนอาจก่อให้เกิดความรับผิดตามกฎหมายขึ้นมาถึงประมาณ 7.9 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 343,825,075.73 บาท)

 

โดยบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยจำเลยได้แนะนำให้เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพียงจากกรมธรรม์ประกันภัยไซเบอร์เท่านั้น กว่าจะดำเนินการแจ้งเหตุต่ออีกสองบริษัทประกันภัยที่เหลืออีกสองราย ก็ล่วงเลยระยะเวลาแจ้งแล้ว ส่งผลทำให้ทั้งสองบริษัทดังกล่าวต่างปฏิเสธความรับผิด ต่อมาบริษัทประกันภัยรายที่สองเปลี่ยนใจยินยอมรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดเชิงพาณิชย์ แบบครอบคลุมให้ รวมวงเงินความคุ้มครองสูงสุดของกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวทั้งสองฉบับแค่ 6 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 261,132,968.91 บาท) เท่านั้น ไม่เพียงพอแก่โอกาสที่จะถูกเรียกร้องค่าเสียหายสูงเช่นว่านั้นอยู่ดี แต่ถ้าสามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนได้จากบริษัทประกันภัยทั้งสามราย คือ รวมทั้งสิ้น 11 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 478,743,776.33 บาท) ก็มากเกินพอแน่นอน

 

ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงขอให้บริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยจำเลยเข้ามารับผิดสำหรับส่วนที่ขาดหายไปนั้นแทน

 

บริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยจำเลยได้ต่อสู้ออกเป็นสองประเด็น ดังนี้

 

1) ประเด็นแรก เนื่องด้วยกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวทั้งสามล้วนกำหนดเงื่อนไขว่าด้วยการประกันภัยอื่นไว้ด้วยถ้อยคำที่แตกต่างกัน กล่าวคือ

 

(1) กรมธรรม์ประกันภัยไซเบอร์ (Cyber Policy) จะให้ความคุ้มครองเพียงเป็นส่วนเกินจากการประกันภัยอื่นใดเท่านั้น

 

(2) กรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดเชิงพาณิชย์ แบบครอบคลุม (Combined Liability Policy) หากมีการประกันภัยอื่นคุ้มครองอยู่แล้ว ก็จะให้ความคุ้มครองเพียงเป็นส่วนเกินเท่านั้น โดยไม่เข้าร่วมชดใช้กับการประกันภัยอื่นนั้นด้วย

 

(3) กรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายทางวิชาชีพ (Professional Indemnity Policy) จะไม่ชดใช้ให้ หากมีการประกันภัยอื่นคุ้มครองอยู่แล้ว

 

ทุกฉบับไม่ปรากฏมีข้อกำหนดการร่วมเฉลี่ยชดใช้ตามสัดส่วนแต่ประการใด

 

พิจารณาจากเงื่อนไขข้างต้นซึ่งล้วนต่างปัดความรับผิดของตนเอง ผู้เอาประกันภัยโจทก์มีสิทธิเรียกร้องได้อย่างมากเพียงแค่ 5 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 217,610,807.42 บาท) ตามที่ได้แนะนำไปเท่านั้น เมื่อสามารถเรียกร้องได้จากกรมธรรม์ประกันภัยทั้งสองฉบับ ก็เกินกว่าที่ควรจะพึงมีสิทธิเช่นว่านั้นแล้ว คำแนะนำดังกล่าวของบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยจำเลยจึงไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายตามสิทธิที่จะพึงได้ของผู้เอาประกันภัยโจทก์เลย

 

2) ประเด็นที่สอง ถึงแม้นหากสามารถเรียกร้องได้จากบริษัทประกันภัยทั้งสามรายก็ตาม ทุกรายล้วนต่างจำต้องเข้ามาร่วมเฉลี่ยตามสัดส่วนอยู่ดี โดยมีการคำนวณเป็นลำดับ คือ

 

ค่าสินไหมทดแทน 1 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 43,522,161.48 บาท) แรก แต่ละรายจะรับผิดในอัตราสัดส่วนหนึ่งต่อสามเท่ากันทุกราย เท่ากับรายละ 333,333 ปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 14,507,372.65 บาท)

 

ลำดับถัดไป บริษัทประกันภัยสองรายที่เหลืออยู่ รับผิดส่วนที่เหลืออยู่ 4 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 174,088,645.94 บาท) อีกคนละกึ่งหนึ่ง เท่ากับรายละ 2,000,000 ปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 87,044,322.97 บาท)

 

ทุกรายรวมทั้งหมดแล้วเท่ากับ 5 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 217,610,807.42 บาท) นั่นเอง

 

ศาลได้วินิจฉัยว่า

 

1) ประเด็นแรก เมื่อปรากฏเงื่อนไขว่าด้วยการประกันภัยอื่นล้วนต่างมีลักษณะเป็นข้อห้ามบอกปัดความรับซึ่งกันและกัน โดยจะคุ้มครองให้เพียงลักษณะเป็นส่วนเกินของกันนั้น จะกลายเป็นไม่มีกรมธรรม์ประกันภัยจะรับผิดได้เลย ซึ่งไม่ถูกต้องกับค่าเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระต่างตอบแทนไป จึงให้ถือเสมือนเงื่อนไขลักษณะเช่นว่านี้ไม่มีผลใช้บังคับได้ และให้ทุกฉบับต้องรับผิดตามวงเงินที่กำหนดไว้ดั้งเดิมของแต่ละฉบับนั้นเอง อันเป็นการแปลความหมายที่ถูกต้องเหมาะสมกับมุมมองของผู้เอาประกันภัยทั่วไป และสอดคล้องกับจุดประสงค์ของการซื้อประกันภัย

 

2) ประเด็นที่สองการเฉลี่ยชดใช้ตามสัดส่วนนั้น ศาลไม่เห็นพ้องกับข้อต่อสู้ของบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยจำเลย เพราะไม่ปรากฏมีข้อกำหนด หรือข้อกฎหมายใดอย่างชัดแจ้งซึ่งระบุบังคับให้การประกันภัยหลายรายจำต้องเข้ามาร่วมเฉลี่ยชดใช้ตามสัดส่วนเป็นอย่างอื่น ฉะนั้น ผู้เอาประกันภัยจึงมีสิทธิที่จะเลือกเรียกร้องเอากับบริษัทประกันภัยรายใดก็ได้เป็นลำดับโดยอิสระ ทั้งนี้ จะต้องไม่เกินกว่าความเสียหายแท้จริงด้วย ส่วนการร่วมเฉลี่ยชดใช้นั้นเป็นประเด็นของบริษัทประกันภัยด้วยกันเองที่จะต้องไปว่ากล่าวกันต่อไป ทั้งไม่มีเหตุผลใดทางกฎหมายที่จะไปบังคับให้ผู้เอาประกันภัยซึ่งซื้อวงเงินความคุ้มครองรวมกันทั้งสิ้น 11 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 478,743,776.33 บาท) แต่สามารถเพียงเรียกร้องได้ลดลงเหลือแค่ 5 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (หรือประมาณ 217,610,807.42 บาท) เท่านั้น

 

ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว ศาลวินิจฉัยให้ผู้เอาประกันภัยโจทก์มีสิทธิได้รับการชดใช้ค่าเสียหายจากบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยจำเลย สำหรับส่วนที่ยังขาดเหลืออยู่ซึ่งตนจะต้องรับผิดตามกฎหมายแก่ผู้เสียหาย และไม่ได้รับการชดใช้จากบริษัทประกันภัยของตน

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Watford Community Housing Trust v Arthur J Gallagher Insurance Brokers Ltd [2025] EWHC 743 (Comm))

 

หมายเหตุ

 

คดีศึกษานี้เป็นอุทธาหรณ์ที่พึงตระหนักอย่างดีแก่ทั้งบริษัทประกันภัย และนายหน้าประกันวินาศภัย ถึง

 

1) ภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของตนที่มีอยู่ โดยเฉพาะนายหน้าประกันวินาศภัยที่จำต้องศึกษาอ่านถ้อยคำของกรมธรรม์ประกันภัยต่าง ๆ อย่างละเอียด เพราะการประกันภัยซ้ำซ้อนมีโอกาสเกิดขึ้นกับกรมธรรม์ประกันภัยประเภทเดียวกัน หรือต่างประเภทกันได้เสมอ โดยที่ตั้งใจ หรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม

 

2) ความชัดเจนของถ้อยคำที่ปรากฏอยู่ในกรมธรรม์ประกันภัยแต่ละฉบับ

 

3) เงื่อนไขการแจ้งเหตุแห่งการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน เป็นไปได้ ควรแจ้งให้ครบถ้วนทุกราย ภายในกำหนดเวลาเผื่อไว้ดีกว่า

 

4) บรรทัดฐานทางกฎหมายในหลักการร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของประเทศอังกฤษนี้ซึ่งไม่ได้มีบทบัญญัติกำหนดไว้อย่างชัดเจน แต่ถ้ามีบทบัญญัติกฎหมายไว้ชัดเจนแล้ว ก็เป็นไปตามนั้น เว้นแต่จะได้มีข้อตกลงพิเศษเป็นอย่างอื่นระหว่างคู่สัญญาประกันภัย

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

 

 

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

เรื่องที่ 230 : เมื่อเงื่อนไขบังคับก่อน (Condition Precedent) ของกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก (Public Liability Insurance Policy) มีผลใช้บังคับ!!!

 

พจนานุกรมศัพท์ประกันภัย ฉบับราชบัณฑิตยสภา พิมพ์ครั้งที่ 6 (แก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. 2560 ให้คำนิยามถ้อยคำที่เกี่ยวข้องไว้ ดังนี้

 

1) condition precedent of the policy เงื่อนไขบังคับก่อนของกรมธรรม์ประกันภัย หมายความถึง เงื่อนไขในการประกันภัยซึ่งกำหนดให้ผู้เอาประกันภัยต้องปฏิบัติก่อน มิฉะนั้นจะถือว่า ผู้เอาประกันภัยทำผิดสัญญา อันเป็นผลให้ผู้รับประกันภัยมีสิทธิบอกเลิกสัญญา

 

2) condition precedent to liability เงื่อนไขบังคับก่อนความรับผิด หมายความถึง เงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งถ้าผู้เอาประกันภัยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้นั้น ผู้รับประกันภัยมีสิทธิปฏิเสธการชดใช้ค่าเสียหายตามกรมธรรม์ประกันภัยนั้นได้

 

แม้ในส่วนเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าส่วนของความคุ้มครองกับข้อยกเว้น แต่บ่อยครั้งกลับถูกละเลยไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรไปอย่างน่าเสียดาย

 

กว่าจะรู้สึกตัว ก็อาจสายเกินไปเสียแล้ว

 

ดั่งเช่นบทเรียนที่เจ็บปวดจากตัวอย่างคดีศึกษาต่างประเทศเรื่องนี้

 

เช้าตรู่ของวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 2012 ได้เกิดเพลิงไหม้ในนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งของประเทศสิงคโปร์ ลุกลามไปสร้างความเสียหายแก่โรงงานสามแห่งที่ตั้งอยู่ข้างเคียงกัน อันได้แก่ โรงงานเขตพื้นที่ 141, 143 และ 145 ตามลำดับ

 

โรงงานเขตพื้นที่ 141 กับ 143 ต่างกล่าวหา พร้อมเรียกร้องค่าเสียหายซึ่งกันและกันว่า ต้นเพลิงนั้นเกิดมาจากโรงงานแต่ละแห่ง จนเป็นคดีฟ้องร้องขึ้นสู่ศาล เพื่อค้นหาข้อยุติว่า

 

(ก) ต้นเพลิงนั้นเกิดมาจากโรงงานเขตพื้นที่ 141 หรือ 143 กันแน่?

 

(ข) ถ้าต้นเพลิงนั้นมีที่มาจากโรงงานเขตพื้นที่ 141 ของฝ่ายจำเลยแล้ว เกิดจากความประมาทเลินเล่อของฝ่ายจำเลยหรือไม่?

 

(ข) ถ้าต้นเพลิงนั้นมีที่มาจากโรงงานเขตพื้นที่ 143 ของฝ่ายโจทก์แล้ว เกิดจากความประมาทเลินเล่อของฝ่ายโจทก์หรือไม่?

 

ผลการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานต่าง ๆ ออกมาแล้ว ปรากฏว่า ฝ่ายจำเลยโรงงานเขตพื้นที่ 141 ยอมรับว่า ต้นเพลิงเกิดมาจากสถานที่ตั้งของตนเองจริง และไฟได้ลุกลามไปไหม้สร้างความเสียหายแก่โรงงานเขตพื้นที่ 143 ของฝ่ายโจทก์ ณ เวลาถัดมา

 

เนื่องจากขณะที่เกิดเหตุ โรงงานเขตพื้นที่ 143 ของฝ่ายโจทก์นั้นไม่มีพนักงานทำงานอยู่เลย เพราะเป็นช่วงเวลาหยุดงาน ขณะที่โรงงานเขตพื้นที่ 141 ของฝ่ายจำเลยนั้น นอกจากใช้อาคารสถานที่ตั้งของตนเองประกอบกิจการโรงงานประกอบ และทดสอบสายส่งพลังงานไฟฟ้า (electrical cables) กับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อจำหน่าย และติดตั้งระบบไฟฟ้าให้แก่กลุ่มการค้า หรือกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ แล้ว ยังกันพื้นที่บางส่วนเป็นหอพักให้แรงงานงานต่างชาติพักอาศัยอยู่ ซึ่งมีการหุงหาทำอาหารอยู่ภายในนั้นด้วย ทั้งพยานแรงงานงานต่างชาติซึ่งเป็นของฝ่ายจำเลยได้ให้การว่า พบเห็นไฟลุกไหม้ในโรงงานนั้นเอง ไม่เห็นมาลุกลามจากโรงงานอื่นข้างเคียงแต่ประการใด และพยายามช่วยกันดับไฟแล้ว แต่ไม่สำเร็จ

 

ศาลจึงตัดสินว่า ต้นเพลิงนั้นมาจากโรงงานเขตพื้นที่ 141 ของฝ่ายจำเลย และถือเป็นความประมาทเลินเล่อของฝ่ายจำเลยโรงงานเขตพื้นที่ 141 เองซึ่งจำต้องรับผิดแก่ผู้เสียหายตามฟ้อง

  

ฝ่ายจำเลยโรงงานเขตพื้นที่ 141 ได้แจ้งว่า ตนมีกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกอยู่ เดี๋ยวจะให้บริษัทประกันภัยนั้นของตนมารับผิดชดใช้ค่าเสียหายแทน

 

อย่างไรก็ดี เมื่อได้รับคำบอกปัดไม่รับผิดชอบจากบริษัทประกันภัยนั้นของตน ฝ่ายโรงงานเขตพื้นที่ 141 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัทประกันภัยนั้นของตนเป็นอีกคดีหนึ่ง

 

ฝ่ายโจทก์โรงงานเขตพื้นที่ 141 โต้แย้งคำกล่าวอ้างของฝ่ายจำเลยบริษัทประกันภัยนั้นที่ว่า โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อนความรับผิดของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทนั้น เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เพราะสิ่งที่กำหนดไว้ดังอ้างอิงนั้นเป็นเพียงข้อสัญญาปกติทั่วไป ไม่ได้ถือเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนความรับผิดแต่ประการใด

 

ฝ่ายจำเลยบริษัทประกันภัยนั้นตอบโต้ว่า หลังเหตุการณ์ไฟไหม้ดังกล่าว หน่วยงานราชการได้กล่าวหาว่า ฝ่ายโจทก์โรงงานเขตพื้นที่ 141 กระทำผิดกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและระงับอัคคีภัย (Fire Safety Act) จำนวนห้ากระทง โทษฐานการใช้พื้นที่ของโรงงานเป็นที่พักอาศัย และที่ประกอบอาหาร  ทั้งยังไม่ได้จัดเตรียมแผนงานเพื่อปกป้องการเกิดไฟไหม้อีกสามกระทง ผลการวินิจฉัย ปรากฏฝ่ายโจทก์โรงงานเขตพื้นที่ 141 มีความผิดจริงตามข้อกล่าวหารวมห้ากระทงจากทั้งหมดแปดกระทง

 

อนึ่ง นี่ไม่ใช่เป็นการกระทำผิดครั้งแรกด้วย เพราะฝ่ายโจทก์โรงงานเขตพื้นที่ 141 เคยถูกตัดสินลงโทษลักษณะทำนองเดียวกันเมื่อปี ค.ศ. 2009 มาแล้ว

 

ทั้งที่มีเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทระบุว่า

 

1) ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่จะต้องใช้ความระมัดระวังตามสมควร ในการจัดการดูแลรักษาทรัพย์สินที่เอาประกันภัยของตนให้อยู่ในสภาพที่ดีพร้อมใช้งานได้ตามปกติ และจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดของผู้ผลิต หรือข้อบังคับตามกฎหมายอย่างถูกต้องครบถ้วน

 

2) ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่จะต้องใช้ความระมัดระวังตามสมควร และปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามข้อกำหนด ข้อบังคับ และเงื่อนไขต่าง ๆ ของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้เท่าที่เกี่ยวข้องการดำเนินการใดที่จะต้องกระทำ หรือที่ไม่ควรกระทำ ตลอดจนถึงการแถลงข้อความจริงในการตอบแบบสอบถามต่าง ๆ โดยให้ถือเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนที่บริษัท (ประกันภัย) จะยอมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้

 

ศาลมีคำพิพากษาว่า จริงอยู่ที่เงื่อนไขทั้งหมดของกรมธรรม์ประกันภัยไม่อาจนับเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนความรับผิดได้ทั้งหมด แต่การละเมิดกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและระงับอัคคีภัยถึงสองครั้งสองครานั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ฝ่ายโจทก์โรงงานเขตพื้นที่ 141 ไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อบังคับอันสมควร (เพื่อประโยชน์ระหว่างตัวผู้เอาประกันภัยกับบริษัทประกันภัยเป็นสำคัญ) อันจัดเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนที่บริษัทประกันภัยจะสามารถตกลงยอมรับผิดได้ เมื่อฝ่ายโจทก์โรงงานเขตพื้นที่ 141 ในฐานะผู้เอาประกันภัยละเลยหน้าที่ของตนเช่นนี้ ฝ่ายจำเลยบริษัทประกันภัยนั้นจึงปฏิเสธความรับผิดตามสิทธิที่มีอยู่ของตนได้เช่นเดียวกัน

 

ตัดสินให้ฝ่ายจำเลยบริษัทประกันภัยนั้นชนะคดีนี้

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี Grace Electrical Engineering Pte. Ltd. v EQ Insurance Co., Ltd [2016] SGHC 233)

 

หมายเหตุ

 

บางครั้ง หัวข้อ หรือถ้อยคำของกรมธรรม์ประกันภัยอาจไม่ได้เขียนอย่างชัดเจนว่า นี่คือ เงื่อนไขบังคับก่อนความรับผิดก็ตาม ทางปฏิบัติอาจดูจากจุดมุ่งหมายของข้อความที่เขียนไว้ประกอบเป็นสำคัญด้วย

 

เช่นดังในหมวดที่ 4 เงื่อนไข และข้อกำหนดทั่วไปของกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกฉบับมาตรฐานบ้านเรา เขียนว่า

 

……………..

 

2. เงื่อนไขบังคับก่อน

 

บริษัท (ประกันภัย) ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยนี้ เว้นแต่ผู้เอาประกันภัยได้ปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาประกันภัย และเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ประกันภัย

 

……………..

 

5. หน้าที่ของผู้เอาประกันภัยในการจัดการป้องกัน

 

ผู้เอาประกันภัยต้องป้องกัน หรือจัดให้มีการป้องกันตามสมควร เพื่อมิให้เกิดอุบัติเหตุ และต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย และข้อบังคับของเจ้าหน้าที่ราชการ ซึ่งบริษัท (ประกันภัย) จะไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้

 

……………..

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/