วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2568

เรื่องที่ 222 : ผู้รับจ้าง (Contractor) ติดตั้งและบำรุงรักษาระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิง (Sprinkler System) ควรต้องรับผิดต่อเหตุน้ำรั่วไหลสร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้ว่าจ้าง (Principal) กับของบุคคลภายนอก (Third Party) หรือไม่?

 

(ตอนที่หนึ่ง)

 

ผู้เช่าอาคารแจ้งต่อผู้ให้เช่าว่า จะขออนุญาตติดตั้งระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติเฉพาะในส่วนของพื้นที่ตนเช่าอยู่

 

ผู้ให้เช่าอนุญาตโดยมีเงื่อนไขขอปรับแก้ไขสัญญาเช่าใหม่ว่า ให้ผู้เช่าอาคารรายนั้นเป็นผู้รับผิดชอบในการบำรุงรักษาระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงนั้นแต่เพียงผู้เดียว และให้จัดทำประกันภัยที่เหมาะสมมาคุ้มครองความเสียหายใด ในกรณีที่ระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงนั้นขัดข้องจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่พื้นที่เช่าของตน ตลอดจนพื้นที่เช่าส่วนอื่นที่อยู่ใต้ระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงนั้นด้วย

 

จากนั้น ผู้เช่าอาคารรายนั้นได้ว่าจ้างบริษัทจำหน่ายระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงเจ้าหนึ่งให้เข้ามาติดตั้ง และทำการดูแลรักษากับการทดสอบระบบตามช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาบำรุงรักษาด้วย ซึ่งแม้นในข้อสัญญาระบุไม่ได้ครอบคลุมถึงการซ่อมแซม การเปลี่ยนทดแทน หรือการให้บริการฉุกเฉิน แต่คู่สัญญาสามารถตกลงกันขยายให้คุ้มเพิ่มเติมได้ต่อเมื่อมีคำร้องขอจากผู้เช่าอาคารรายนั้นเป็นรายกรณี และหากมีความเสียหายใดเกิดขึ้นมา บริษัทประกันภัย หรือบุคคลภายนอกรายใดจะไม่สามารถรับช่วงสิทธิมาไล่เบี้ยเอาผิดกับบริษัทจำหน่ายระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงเจ้านี้ได้ เนื่องจากผู้เช่าอาคารรายนั้นจะเข้ามารับผิดแทน พร้อมจัดการประกันภัยทรัพย์สินมาคุ้มครองเอง

 

ในขั้นตอนปกติ สำหรับการดูแลรักษากับการทดสอบระบบตามช่วงระยะเวลานั้น จะมีพนักงานตรวจสอบของบริษัทจำหน่ายระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงเจ้านี้แจ้งขอนัดวันเวลาที่จะเข้ามากับพนักงานผู้รับผิดชอบของผู้เช่าอาคารรายนั้นก่อน ครั้นเมื่อมาถึงแล้ว ก็จะมีการส่งมอบกุญแจห้องควบคุมระบบ (riser room) ให้ พอตรวจดำเนินการเสร็จแล้ว พนักงานตรวจสอบก็จะส่งมอบกุญแจคืน พร้อมกับให้พนักงานผู้รับผิดชอบลงนามรับรองผลการทำงานอีกที เป็นเสร็จขั้นตอน

 

ผลการทำงานครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 ปกติเรียบร้อยดี

 

ต่อมาวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 2016 พนักงานผู้ดูแลอาคารของผู้ให้เช่าตรวจพบเจอร่องรอยน้ำรั่วจากท่อน้ำหลักที่เชื่อมต่อกับระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิง แม้ผู้ให้เช่ามีสิทธิตามสัญญาเช่าที่จะเข้าไปตรวจสอบ หรือซ่อมแซมพื้นที่เช่าในกรณีฉุกเฉินได้ตลอดเวลาก็ตาม แต่ไม่ได้ใช้สิทธิเช่นว่านั้น กลับถือวิสาสะโทรศัพท์ไปแจ้งเหตุแก่พนักงานตรวจสอบของบริษัทจำหน่ายระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงเจ้านี้เอง

 

พนักงานตรวจสอบของบริษัทจำหน่ายระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงเจ้านี้ก็มาตรวจสอบตามคำร้องขอด้วยการเข้าไปทำอะไรกับวาล์วควบคุมระบบ แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้มีการประสานงานแจ้งให้ผู้เช่าอาคารรายนั้นได้รับทราบแต่ประการใด

 

ถัดมาไม่ถึงสัปดาห์ น้ำในระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงนั้นจับตัวแข็ง และได้ระเบิดแตกออกมา ก่อให้เกิดน้ำท่วมสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินอย่างกว้างขวางรวมถึงทรัพย์สินของผู้เช่าอาคารรายอื่นทุกรายด้วย

 

ในจำนวนผู้เช่าอาคารทั้งหมดสี่ราย มีการทำประกันภัยคุ้มครองทรัพย์สินส่วนของตนไว้เพียงสองรายเท่านั้น รวมทั้งผู้เช่าอาคารรายที่ติดตั้งระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงนั้นด้วย ซึ่งทั้งคู่ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยของตนเรียบร้อยแล้ว

 

บริษัทประกันภัยของผู้เช่าอาคารสองรายในฐานะผู้รับช่วงสิทธิร่วมกับผู้เช่าอาคารที่ไม่มีประกันภัยคุ้มครองได้นำเรื่องยื่นฟ้องต่อศาล เพื่อเรียกร้องให้บริษัทจำหน่ายระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงเจ้านี้รับผิดชอบ

 

คุณคิดว่า บริษัทจำหน่ายระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงเจ้านี้ในฐานะผู้รับจ้างจำต้องรับผิดแก่

 

ก) ผู้เช่าอาคารรายที่ติดตั้งระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงนั้นในฐานะผู้ว่าจ้าง หรือ

 

ข) บริษัทประกันภัยในฐานะผู้รับช่วงสิทธิ และ

 

ค) ผู้เช่าอาคารรายที่ไม่มีประกันภัยคุ้มครอง

 

หรือไม่ครับ?

 

ลุ้นผลการตัดสินที่ต่อสู้กันถึงชั้นศาลสูงสุดในคราวหน้าครับ

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/

 

 

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2568

เรื่องที่ 221 : ลูกจ้างของผู้เอาประกันภัยถือเป็นปัจจัยหลัก (Human Factor) ทำให้ไม่ได้รับความคุ้มครองจากภัยไซเบอร์ (Cyber Coverage) หรือเปล่า?

 

ปกติทั่วไป กรมธรรม์ประกันภัยไซเบอร์มักระบุข้อยกเว้นไม่คุ้มครองถึงความเสียหายที่มีสาเหตุมาจากการกระทำของลูกจ้าง (loss caused by an employee) ของผู้เอาประกันภัยเอง หรือบางครั้งเรียกรวม ๆ ว่า ปัจจัยจากมนุษย์ (human factor) ซึ่งถ้อยคำของข้อยกเว้นนี้จะกินความกว้างขนาดไหนกันแน่? เพราะฝ่ายบริษัทประกันภัยมักหยิบยกนำมาใช้ปฏิเสธความคุ้มครองอยู่บ่อยครั้ง

 

เรามาลองพิจารณาตัวอย่างคดีศึกษาเรื่องนี้กันนะครับว่า ในทางปฏิบัติ ศาลจะรับฟังเช่นใด?

 

ผู้เอาประกันภัยประกอบธุรกิจธนาคารได้จัดทำประกันภัยคุ้มครองการประกอบธุรกิจธนาคาร แบบครอบคลุม (Banker’s Blanket Bond Insurance) เอาไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง

 

วันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2011 ได้มีคนร้ายเจาะระบบโอนเงินของธนาคารผู้เอาประกันภัย สูญเสียเงินไป 485,000 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือเทียบเท่า 16,854,962.50 บาท) และได้รีบแจ้งเหตุให้บริษัทประกันภัยของตนรับทราบโดยทันที

 

หนึ่งปีผ่านไป ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนกลับมาจากบริษัทประกันภัยรายนั้น

 

วันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2012 ธนาคารผู้เอาประกันภัยได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อหน่วยงานกำกับดูแล

 

วันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2014 บริษัทประกันภัยรายนั้นได้ทำหนังสือตอบปฏิเสธความคุ้มครองอย่างเป็นทางการ

 

วันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 2014 ธนาคารผู้เอาประกันภัยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้น เพื่อเรียกร้องให้บริษัทประกันภัยฝ่ายจำเลยรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท

 

บริษัทประกันภัยฝ่ายจำเลยโต้แย้งคำฟ้องโดยอ้างว่า ผลของการตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เนื่องมาจากการละเลยของลูกจ้างของธนาคารที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ และมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด เพราะธนาคารแห่งนี้ใช้ระบบการโอนเงินผ่านระบบธนาคารกลาง (FedLine) ที่เชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของลูกจ้างผู้ใช้งาน โดยอาศัยการเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายส่วนตัวเสมือน (Virtual Private Network (VPN)) ซึ่งมีขั้นตอนปฏิบัติงานด้วยการเข้ารหัสผ่านของผู้ใช้งานสองราย กับรหัสผ่านของอุปกรณ์โทเคน (security token) อีกชั้นหนึ่ง เมื่อใช้งานเสร็จสิ้นแล้ว ลูกจ้างผู้ใช้งานกลับไม่ปิดระบบคงปล่อยให้ระบบยังทำงานอยู่ข้ามคืน จนรุ่งเช้าถึงตรวจเจอว่า มีคนร้ายเข้ามาเจาะระบบหลอกโอนเงินออกไปยังต่างประเทศสองรายการ แต่ระงับได้ทันเพียงรายการเดียว

 

อันที่จริง คนร้ายได้ปล่อยไวรัสซุสโทรจัน (Zeus Trojan) แฝงเข้ามาอยู่ก่อนหน้าแล้ว โดยลูกจ้างผู้ใช้งานก็ได้ตรวจพบ แต่กลับละเลยไม่ได้ขจัด (remove) ออกไป  

 

เหตุการณ์ดังกล่าวจึงมีสาเหตุมาจากการกระทำของลูกจ้างของผู้เอาประกันภัยดังระบุไว้ในข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท

 

ศาลชั้นต้นได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้ว มีความเห็นว่า แม้ลูกจ้างผู้ใช้งานของธนาคารฝ่ายโจทก์จะมีส่วนประมาทเลินเล่ออยู่บ้าง แต่ไม่ได้คาดคิด (foreseeable) ว่า จะเกิดเหตุการหลอกโอนเงินนี้ขึ้นมา จึงเข้าหลักสาเหตุใกล้ชิดสองสาเหตุที่เกิดขึ้นพ้องกัน (Concurrent Causation Doctrine) โดยหลักการให้ยึดสาเหตุที่มีผลมากที่สุด (Efficient and Proximate Cause/Overriding Cause) เป็นเกณฑ์ ถึงแม้นกรณีนี้ จะมีสาเหตุข้อยกเว้นจากการกระทำของลูกจ้างของผู้เอาประกันภัยเข้ามาพ้องกันกับสาเหตุความคุ้มครองคนร้ายหลอกโอนเงินไป ซึ่งอย่างหลังจะก่อให้เกิดผลมากที่สุด กรณีนี้จึงถือเข้าเงื่อนไขความคุ้มครอง ไม่ใช่เนื่องด้วยการกระทำฝ่าฝืนมาตรการปฎิบัติงานของลูกจ้างผู้ใช้งาน

 

ศาลชั้นต้นตัดสินให้ธนาคารผู้เอาประกันภัยฝ่ายโจทก์ชนะคดี

 

บริษัทประกันภัยฝ่ายจำเลยยื่นอุทธรณ์คัดค้าน

 

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

 

(อ้างอิง และเรียบเรียงมาจากคดี State Bank of Bellingham v. BancInsure Inc., No. 14-3432 (8th Cir. May 20, 2016))

 

บริการ

 

-     รับบรรยายให้ความรู้ด้านประกันวินาศภัย

-     รับแปลเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย (อังกฤษเป็นไทย)

สนใจติดต่อ vivatchai.amornkul@gmail.com

 

อ่านบทความอีกชุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ใน พบ-ป(ร)ะ -กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ใน Facebook Meet Insurance ที่ https://www.facebook.com/pomamornkul/