วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2561

เรื่องที่ 78: แล้วถ้าทรัพย์สินที่เอาประกันภัยมีหลายรายการ บางรายการเท่านั้นที่ได้รับความเสียหาย ยังงี้ หากเกิดธุรกิจหยุดชะงักทั้งหมดในภาพรวม จะสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยหยุดชะงัก (Business Interruption Insurance Policy) ได้หรือไม่?


(ตอนที่สอง)

ตอนที่แล้วได้ทิ้งคำถามสำหรับสองตัวอย่างไว้เป็นการบ้าน ตอนนี้เราจะมาวิเคราะห์หาคำตอบกันทีละตัวอย่างนะครับ

ตัวอย่างที่หนึ่ง 

โรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์แห่งหนึ่ง มีร้านขายอยู่สองสาขา ทั้งหมดได้ทำประกันภัยคุ้มครองทรัพย์สินทั้งหมดเอาไว้ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยสำหรับทรัพย์สินฉบับหนึ่ง และกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักอีกฉบับหนึ่ง

ต่อมา เกิดไฟไหม้ขึ้นที่โรงงานผลิต ส่งผลทำให้ร้านขายสองสาขาได้รับผลกระทบทางธุรกิจไปด้วย 

คุณคิดว่า ทั้งสองสาขาควรจะได้รับความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักด้วยมั้ย? ทั้งที่มิได้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยในสาขาเหล่านั้นเลย

คดีพิพาทนี้ ศาลได้วิเคราห์เจตนารมณ์ประกอบถ้อยคำของกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักฉบับนี้ ซึ่งระบุว่า “หากธุรกิจของผู้เอาประกันภัยได้หยุดชะงักลง หรือได้รับผลกระทบ อันสืบเนื่องมาจากความสูญเสีย หรือความเสียหายทางกายภาพของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ ณ สถานที่เอาประกันภัยดังระบุไว้ บริษัทจะชดใช้ความสูญเสียทางการเงินที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงให้แก่ผู้เอาประกันภัย

ถ้อยคำดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะทำการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อทำให้ผู้เอาประกันภัยกลับคืนสู่สถานะทางการเงินดังเดิมเสมือนหนึ่งมิได้เกิดความสูญเสียขึ้นมาเลย โดยมิได้จำกัดอย่างเฉพาะเจาะจงว่า ความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัยกับความสูญเสียทางการเงินนั้นจะต้องอยู่ในสถานที่เอาประกันภัยเดียวกันเท่านั้นถึงจะได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักฉบับนี้

คดีนี้ศาลเห็นว่า ทั้งโรงงานผลิตกับร้านขายสองสาขาต่างพึ่งพาซึ่งกันและกัน เนื่องจากโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปออกมาเพื่อส่งให้ทั้งสองสาขาจำหน่ายเป็นหลัก ถึงแม้สองสาขานั้นอาจจะรับเฟอร์นิเจอร์จากแหล่งอื่นมาขายด้วย แต่ก็มีสัดส่วนอยู่เพียงสามสิบสี่สิบเปอร์เซนต์เท่านั้น เมื่อโรงงานผลิตได้รับความเสียหาย สาขาทั้งสองแห่งต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในทางกลับกัน ถ้าสาขาเหล่านั้น สาขาใด สาขาหนึ่งก็อาจส่งผลกระทบทางการเงินต่อโรงงานผลิตได้เช่นกัน

ศาลจึงพิพากษาให้บริษัทประกันภัยจำเลยรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจชะงักฉบับนี้ต่อผู้เอาประกันภัยโจทก์

(อ้างอิงจากคดี Wood Goods Galore, Inc. v. Reinsurance Association of Minnesota 478 N.W. 2d 205, 207 (Minn. Ct. App. 1991))

ตัวอย่างที่สอง

โรงแรมใหญ่แห่งหนึ่งประกอบด้วยอาคารห้องพักสี่หลัง และอาคารที่เป็นภัตตาคารหนึ่งหลัง

เช่นเดียวกัน ทั้งหมดได้ทำประกันภัยคุ้มครองทรัพย์สินกับธุรกิจหยุดชะงักไว้อย่างละฉบับ

อยู่มาวันหนึ่ง ได้เกิดไฟไหม้ที่ภัตตาคารเพียงจุดเดียว อาคารที่เป็นห้องพักทั้งสี่หลังจะสามารถเรียกร้องความสูญเสียทางการเงินจากการได้รับผลกระทบทางธุรกิจที่เอาประกันภัยไว้ได้หรือไม่?

คดีนี้ บริษัทประกันภัยได้ปฏิเสธความรับผิดในส่วนของความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก โดยอ้างว่า ผู้เอาประกันภัยมิได้รับความสูญเสียทางการเงินอย่างแท้จริง ถึงแม้ได้เกิดความเสียหายแก่อาคารภัตตาคารที่เอาประกันภัยไว้ และตั้งอยู่ภายในบริเวณสถานที่เอาประกันภัยด้วย ซึ่งเคยมีแนวคำพิพากษาตัดสินมาแล้ว

ผู้เอาประกันภัยในฐานะโจทก์ต่อสู้ว่า แนวคำพิพากษาก่อนหน้านี้ ซึ่งมีลักษณะเหตุการณ์คล้ายคลึงกัน คือ เกิดความเสียหายที่ภัตตาคาร แต่ส่วนอาคารห้องพักมิได้เสียหายนั้น มีความแตกต่างจากคดีนี้ เพราะคดีก่อน ตัวภัตตาคารที่เสียหายนั้นเป็นพื้นที่เช่า ส่วนคดีนี้ ภัตตาคารกับโรงแรมเป็นเจ้าของเดียวกันทั้งหมด ดังนั้น ความเสียหายที่จุดหนึ่ง จะส่งผลกระทบต่อจุดอื่น ๆ ด้วย เนื่องจากทุกจุดล้วนต้องอาศัยพึ่งพากันในทางธุรกิจ (Mutual Dependency) ด้วยกันทั้งสิ้น 

ศาลคดีนี้วินิจฉัยว่า ถ้าในส่วนอาคารห้องพักทั้งสี่หลัง เห็นว่า มีความพึ่งพาอาศัยกันอย่างชัดเจนเสมือนหนึ่งเป็นส่วนเดียวกันทั้งหมด แต่ในส่วนของภัตตาคารนั้น อาจมิได้มีความสำคัญต่อโรงแรมถึงขนาดนั้น แม้ปราศจากภัตตาคาร ธุรกิจของโรงแรมสามารถดำเนินต่อไปได้ แม้จะไม่มีการให้บริการอาหารอีกต่อไป ประกอบกับข้อความจริงในคดีนี้ ส่วนของภัตตาคารได้จัดทำกรมธรรม์ประกันภัยแยกคนละฉบับกับส่วนของโรงแรม ดูเสมือนให้แยกธุรกิจทั้งสองส่วนออกจากกัน กอปรกับคำให้การของผู้เอาประกันภัยเองเสมือนมิได้รีบเร่งให้ทำการซ่อมแซมความเสียหายของส่วนภัตตาคาร ทำให้น้ำหนักพยานฝ่ายโจทก์ดูอ่อนลงไป ศาลไม่เชื่อว่า ความสูญเสียทางการเงินในภาพรวมที่เกิดขึ้นแก่ผู้เอาประกันภัยในกรณีนี้จะเป็นผลโดยตรงอย่างแท้จริงจากความเสียหายของส่วนภัตตาคารเป็นสำคัญ จึงพิพากษาให้จำเลยบริษัทประกันภัยไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักฉบับนี้

(อ้างอิงจากคดี Ramada Inn Ramogreen, Inc. v. Travelers Indemnity Co. of America, 835 F.2d 812 (11th Cir. 1988))

แม้ตัวอย่างคดีทั้งสองเป็นของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจมีเงื่อนไขความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักแตกต่างในรายละเอียดจากของประเทศอังกฤษที่บ้านเราใช้เป็นต้นแบบอยู่บ้าง แต่หลักการที่สำคัญแทบมิได้ต่างจากกันมากนัก 

ถ้าเราพิจารณาจากหลักพึ่งพาอาศัยกัน (Mutual Dependency) ที่ศาลประเทศอเมริกาวางแนวทางไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1931 ในคดี Studley Box ทำให้ถูกเรียกว่า “ทฤษฏี Studley Box ศาลได้วางหลักการว่า การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักมีลักษณะแตกต่างจากการประกันอัคคีภัยที่สามารถกำหนดมูลค่าของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยแต่ละชิ้น แต่ละส่วนได้อย่างชัดเจน ขณะที่การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักมิได้เป็นเช่นนั้น ทำให้ต้องมองจากภาพรวมของธุรกิจเป็นเกณฑ์ เว้นแต่ผู้รับประกันภัยจะได้กำหนดให้เป็นเช่นนั้นอย่างชัดแจ้ง เช่น เงื่อนไขพิเศษว่าด้วยการแยกแผนก (Departmental Clause) เป็นต้น

ในส่วนของประเทศอังกฤษก็วางแนวทางคล้ายคลึงนี้ไว้เป็นลักษณะข้อตกลงระหว่างบริษัทประกันภัยด้วยกันที่เรียกว่า “Blundell Spence Agreement” 

เมื่อมาพิจารณาเงื่อนไขความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ของประเทศไทย ซึ่งกำหนดว่า

บริษัทตกลงจะให้ความคุ้มครองสำหรับความเสียหายจากการหยุดชะงักของธุรกิจอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่สิ่งปลูกสร้างใด ๆ หรือทรัพย์สินอื่น ๆ ที่ผู้เอาประกันภัยใช้เพื่อประกอบธุรกิจ ณ สถานที่เอาประกันภัยได้รับความเสียหาย และได้รับความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน และมิได้มีการระบุยกเว้นไว้ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ ณ เวลาใดในระหว่างระยะเวลาเอาประกันภัยที่ปรากฏในตารางกรมธรรม์ประกันภัย และเป็นผลทำให้ธุรกิจที่ดำเนินอยู่โดยผู้เอาประกันภัย ณ สถานที่เอาประกันภัยหยุดชะงักลง หรือได้รับผลกระทบ บริษัทจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยแต่ละรายการที่ระบุในกรมธรรม์ประกันภัย

หากนำมาปรับใช้กับตัวอย่างทั้งสองกรณีข้างต้น คุณคิดว่า ศาลไทยจะตีความออกมาเช่นใดครับ?

ผมเขียนบทความอีกชุดหนึ่งภายใต้หัวข้อ พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ซึ่งจะเน้นเขียนสาระน่ารู้ต่าง ๆ ของการประกันวินาศภัยเสริมเพิ่มเติมใน Facebook ใน Meet Insurance จาก Facebook ส่วนตัวของผม และที่ https://www.facebook.com/BestTrainingAdvisory ขอฝากด้วยนะครับ ล่าสุดเป็นเรื่อง ภัยต่อเครื่องไฟฟ้า (Electrical Injury & Installation) เรื่องที่คุยกันไม่รู้จบ

เรื่องต่อไปในบทความนี้ ภัยเนื่องจากน้ำที่ว่าจะต้องเกิดขึ้นโดยฉับพลัน และโดยอุบัติเหตุนั้น (Sudden & Accidental Water Damage) จริง ๆ แล้ว หมายความเช่นใดกันแน่?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น