ผู้เอาประกันภัยได้สังเกตเห็นคราบน้ำอยู่ตรงขอบหน้าต่าง
เมื่อตรวจสอบดูก็พบร่องรอยความชื้นตามผนังกำแพงบริเวณนั้น จึงพยายามใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาด
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เริ่มเห็นเชื้อราขึ้นเป็นจุดกระจายไปทั่ว เมื่อตรวจสอบไล่หาจุดที่มาของความชื้นจนไปถึงจุดที่ฝังท่อน้ำในพื้นดินใต้ถุนบ้าน
แต่ตนเองมิได้ยินเสียงน้ำรั่วไหลแต่ประการใด จึงทำการปิดวาวล์น้ำ
และแจ้งช่างประปามาตรวจสอบแก้ไข
ช่างประปาได้เจาะพื้นและพบว่าท่อน้ำใต้พื้นรั่วไหลจริง
ผู้เอาประกันภัยจึงได้แจ้งบริษัทประกันภัยของตน
เพื่อให้รับผิดชอบสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น
บริษัทประกันภัยส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ
และถ่ายรูปประกอบเป็นหลักฐาน ต่อมาได้ทำหนังสือแจ้งปฏิเสธความรับผิดอ้างว่า
เนื่องจากเงื่อนไขความคุ้มครองภัยความเสียหายเนื่องจากน้ำ (Water Damage Condition)
ของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ได้ระบุว่า
“จะรับผิดสำหรับความสูญเสีย
หรือความเสียหายทางกายภาพที่เกิดขึ้นโดยตรงต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัยจากการเปียกน้ำ
เฉพาะเพียงที่เป็นผลมาจากการรั่วไหล การประทุ การเอ่อล้น หรือการไหลของน้ำซึ่งได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
และโดยอุบัติเหตุ (sudden
and accidental) เท่านั้น
ทั้งนี้ การรั่วไหล
การประทุ การเอ่อล้น หรือการไหลของน้ำซึ่งได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
และโดยอุบัติเหตุนั้นมิได้รวมถึงการไหล การรั่วซึมที่ค่อย ๆ
เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือเป็นช่วงระยะเวลา หรือการคงอยู่ของน้ำในช่วงเวลาหนึ่ง”
ครั้นคดีถูกนำขึ้นสู่ศาล
พยานผู้เชี่ยวชาญฝ่ายโจทก์ผู้เอาประกันภัยเห็นว่า การไหลของน้ำออกมาจากท่อน้ำได้เป็นไปอย่างฉับพลันแล้ว
ส่วนพยานผู้เชียวชาญฝ่ายจำเลยบริษัทประกันภัยกลับเห็นต่างว่า ความเสียหายเนื่องจากน้ำค่อย
ๆ เกิดขึ้น โดยที่ศาลชั้นต้นเห็นคล้อยตามกับฝ่ายจำเลย
ในชั้นศาลอุทธรณ์ ได้มีการวิเคราะห์ประเด็นข้อโต้แย้งดังนี้
1) คำว่า “ฉับพลัน”
ที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ คงมิอาจหมายถึงการค่อย ๆ เกิดขึ้น
หรือการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ การที่น้ำค่อย ๆ ไหลออกมาจากท่อ (แม้หยดแรกจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันก็ตาม)
และเพิ่มปริมาณทีละเล็กละน้อยนั้น ไม่น่าจะทำให้พบเห็นได้ว่าได้เกิดความเสียหายเนื่องจากน้ำอย่างฉับพลันแล้ว
ดังในคดีนี้ที่กว่าจะตรวจพบการรั่วไหลของน้ำ ก็เป็นเวลาร่วมเดือนแล้ว
2) ข้อยกเว้นนี้มีความชัดเจนอยู่ในตัวที่คนทั่วไปอ่านแล้วเข้าใจได้
โดยมิได้กำกวมแต่อย่างใด
จึงตัดสินให้บริษัทประกันภัยเป็นฝ่ายชนะคดีนี้ไป
(อ้างอิงจากคดี Brown
v. Mid-Century Insurance Company, — Cal. Rptr.
3d — (Apr. 24, 2013))
ข้อสังเกตของนักกฎหมายบางรายเห็นว่า
คดีนี้ดูเสมือนศาลตีความมุ่งไปที่ระยะเวลาของการค้นพบ อันเป็น “ผล (Effect)” มากกว่าจะมองไปที่ “เหตุ (Cause)”
เทียบเคียงกับเงื่อนไขความคุ้มครองความเสียหายอันเกิดขึ้นจากภัยเนื่องจากน้ำ (Water Damage Endorsement) แบบ อค. 1.44 ภายใต้กรมธรรม์ประกันอัคคีภัย ฉบับมาตรฐานของบ้านเรา ซึ่งมีใจความสำคัญว่า
“การประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้
ได้ขยายความคุ้มครองถึงความเสียหายต่อทรัพย์สินที่ได้เอาประกันภัยไว้ อันเกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุจากการปล่อย
การรั่วไหล หรือการล้นออกมา ของน้ำหรือไอน้ำ จากท่อน้ำ ถังน้ำ ระบบทำความร้อน
ระบบทำความเย็น ระบบปรับอากาศ เครื่องสูบน้ำ
และรวมถึงน้ำฝนที่ไหลผ่านเข้าไปภายในอาคารจากการเสียหายของหลังคา หน้าต่าง ประตู
วงกบประตูหน้าต่าง ช่องลม ช่องรับแสงสว่าง ท่อน้ำหรือรางน้ำ”
น่าดีใจบ้างนะครับที่มิได้มีคำว่า “ฉับพลัน”
มากำกับเอาไว้ด้วย
ผมเขียนบทความอีกชุดหนึ่งภายใต้หัวข้อ
พบ-ป(ร)ะ-กัน(ภัย): เป็นเรื่อง เป็นราว ซึ่งจะเน้นเขียนสาระน่ารู้ต่าง
ๆ ของการประกันวินาศภัยเสริมเพิ่มเติมใน Facebook ใน Meet
Insurance จาก Facebook ส่วนตัวของผม และที่ https://www.facebook.com/BestTrainingAdvisory
ขอฝากด้วยนะครับ
ล่าสุดเป็นเรื่อง ภัยต่อเครื่องไฟฟ้า (Electrical Injury
& Installation) เรื่องที่คุยกันไม่รู้จบ (ที่จะต้องคุยกันยาวนิดนึง)
เรื่องต่อไปในบทความนี้
คำว่า “โดยมิได้มุ่งหวัง และโดยฉับพลัน (Unforeseen & Sudden)” ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยเครื่องจักร